วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"อั้ม" สวนกลับ "เก๋" พูดมั่ว ยัน "โน้ต" ถูกลูบแผ่นหลังจริง

อั้มพัชราภา ควันออกหู! ชี้แจงคำต่อคำไม่เคยกระชากแขนเซเล็บฯ คู่กรณี เก๋ รุ่งนภา แต่ยืนยันอีกฝ่ายลูบแผ่นหลังแฟนหนุ่ม โน้ต วิเศษ จากซ้ายไปขวาจริง ไม่ใช่แค่แตะไหล่ทักทาย เผยมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์เพียบ!! และมั่นใจอีกฝ่ายพูดมั่วหลายเรื่อง ตอกเป็นผู้หญิงไม่น่าทำตัวแบบนี้! ด้านโน้ต คอนเฟิร์มไม่เคยสนิทสนมถึงขั้นทักทายกันแบบนี้เผยยังรู้สึกงงและอึ้ง! แต่ห่วงความรู้สึก อั้ม มากกว่า !!

หลังอ่านบทสัมภาษณ์ของ เซเล็บฯโลโซ คู่กรณี เก๋ รุ่งนภา ที่แฉ! ผ่านเว็บดัง เหน็บตนขี้หึงโอเว่อร์แถมยืนยันไม่เคยลูบแผ่นหลัง โน้ต วิเศษ แค่แตะไหล่ทักทายเท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับคำบอกเล่าของ นางเอกซุปตาร์ อั้ม พัชราภา และแฟนหนุ่ม โน้ต วิเศษ ที่ให้สัมภาษณ์เปิดใจครั้งแรก!! ก่อนตอกกลับ! เป็นคนพูดตรงยังไงก็อย่างนั้น ผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่เคยสร้างภาพให้ตัวเองดูดี และไม่มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์เรื่องของตัวเอง ซึ่งแฟนคลับและแฟนละครของ สาวอั้ม รู้ดีที่สุด ว่านางเอกซูเปอร์สตาร์เป็นคนพูดตรง และไม่เสแสร้งแกล้งทำจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่นอน !!

นางเอกสาว อั้ม พัชราภา เปรยด้วยน้ำเสียงสุดเซ็ง ถึงประโยคนึงของ เซเล็บฯโลโซ คู่กรณี เก๋ รุ่งนภา ในเว็บดังว่า "คำ ที่เขาพูดกับอั้มว่า "ขอโทษนะคะเมื่อกี้พี่ได้ยินแล้วนะว่าเก๋กับโน้ตรู้จักกัน จะได้ไม่ต้องมามีปัญหากัน" เขาไม่ได้พูดคำนี้ เขาเก่งมากในการที่จะเรียบเรียงคำมาพูด คือยอมรับเลย"

ให้ อั้มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอีกครั้ง ?

อั้ม พัชราภา : "คือวันนั้นอั้มไปนั่งกับโน้ต แล้วก็มีรุ่นน้องคือเพื่อนอั้มอยู่ในโต๊ะนั้น แล้วอั้มก็นั่งหันหลังอยู่ เขาคงไม่เห็นอั้มหรอกค่ะ แต่เขาเห็นโน้ต เขาก็เดินมา แล้วเขาก็ไม่ได้ทักทายโน้ตเหมือนที่เขาพูดว่า...เฮ้ย โน้ตหวัดดี ไม่มีนะคะ เขาเดินมาลูบหลัง ลูบจากซ้ายของโน้ตไปขวาของโน้ต ค่อยๆ ลูบไป แล้วเขาก็เดินมาคุยกับเพื่อนที่มุมโต๊ะ แล้วเขาก็เพิ่งเห็นอั้มตรงนั้นน่ะค่ะ"

"แล้วอั้มก็ถามโน้ต ว่าโน้ต รู้จักกันขนาดที่เขามาลูบแบบนี้เลยเหรอ สนิทกันอย่างนี้เลยเหรอ โน้ตก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ได้สนิทกันขนาดมาลูบแบบนี้เลย แค่รู้จักธรรมดา เสร็จแล้วอั้มก็เข้าไปถามเขาว่า...เออ อั้มไม่ได้กระชากแขนอย่างที่เขาพูดเลย ไม่ได้ฉุดแขนเขาด้วย แล้วก็ถามว่ารู้จักกันด้วยเหรอ ถึงมาลูบหลังกันอย่างนี้ เขาบอกว่าก็รู้จักกันค่ะ อ้าวโน้ตไม่รู้จักเก๋เหรอเขาก็ถามโน้ตแบบนี้ โน้ตก็บอกว่ารู้จัก แต่ไม่รู้จักขนาดแบบนี้ โน้ตเขาก็พูดอย่างนี้ อั้มก็เลยบอก อ้าวเธอ..แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย อั้มพูดแค่นี้แล้วเขาก็ไม่พูดกับอั้มอีกเลย"

"อั้มก็เดิน กลับมานั่งที่เก้าอี้ เขาก็ยืนนิ่ง ได้แต่อมยิ้มเหมือนเขาคงรู้สึกว่าเสียหน้าด้วยหรือเปล่า เพราะเขานิ่งแล้วเขาก็ยิ้ม อั้มเชื่อว่าตอนแรกเขาคงไม่เห็นอั้มหรอก เพราะอั้มนั่งหันหลัง แล้วก็มีเพื่อนในโต๊ะเห็นว่าเขาลูบเขาจะบอกว่าไม่ได้ลูบได้ยังไงไม่มีการทักทายอย่างที่เขาพูด เขาพูดกับโน้ตคำเดียวคือ...อ้าวโน้ตไม่รู้จักเก๋เหรอ... คำพูดเดียวที่เขาพูดกับโน้ตแค่นั้นเอง"

อั้ม เล่าต่อว่า "แล้วที่เขาให้สัมภาษณ์ในเว็บๆ นึงว่า...เก๋ก็งงไงคะว่าคนรู้จักกันทำไมจะจับ หลังกันไม่ได้ ป้ายก็ไม่มีติดไว้...อั้ม อยากจะบอกว่าขอโทษนะคะ ชีวิตจริงมีเหรอต้องติดป้าย ในที่เที่ยวมีเหรอต้องติดป้าย ถ้าไม่ติดป้ายแล้วยังไงล่ะ น้องจะมาพูด จะมาลูบ จะมายังไงก็ได้เหรอคะ ติดป้ายหรือไม่ติดป้ายน้องก็ไม่ควรทำอย่างนี้ น้องเป็นผู้หญิง อั้มอยากจะพูดอย่างนี้มากเลยนะคะเนี่ย"

ในบทสัมภาษณ์ เก๋ บอกว่ามีกลุ่มเพื่อนที่เห็นเหตุการณ์ด้วย??

อั้ม พัชราภา : "ก็กลุ่มอั้มนี่แหละค่ะ กลุ่มเขาอีกโต๊ะนึงยังไม่มา เขามายืนอยู่คนเดียวตั้งนานแล้ว คือกลุ่มที่เขารู้จักก็คือในโต๊ะของอั้มนี่แหละ ค่ะ แล้วมาถามว่ามีใครเห็นบ้าง ก็มีบ้างที่เห็นลูบ และไม่เห็นลูบ และที่ไม่อยากออกความคิดเห็น แต่คนเห็นก็มี เห็นว่าลูบ จริงๆ อั้มจะบอกว่าการทักทายมันทักทายได้หลายอย่าง จะจับมือทักทาย ตบบ่าทักทาย พูดคุยกัน แต่ไม่ใช่วิธีลูบแบบนี้ แล้วมาลูบกับคนที่เขายังทำหน้างงๆ นึกออกมั้ยคะ เขายังทำหน้างงๆ ว่ามาลูบทำไมเนี่ย(โน้ตก็งงเหรอ?) โน้ต งงมาก โน้ตไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย อยากบอกว่าการลูบไล้เนี่ย เก็บไว้ลูบกับแฟนน้อง เพื่อนสนิทน้อง หรือคนที่เขาสมัครใจให้น้องลูบดีกว่ามั้ย คือมันก็ไม่สมควรน่ะที่ทำอย่างนี้"

"แล้วอั้มก็ไม่ได้ไป ฉุดกระชากแขนเขา อั้มไปสะกิดเขา ยืนยันว่าไม่ใช่คนอย่างนั้นค่ะ แล้วอั้มจะหวงไว้ทำไม ไม่รู้จะหวงไว้ทำไม หวงเพื่ออะไร อั้มจะหวงเขาเพื่ออะไร ไม่ได้น่าหวงเลย คือไม่เข้าใจอ่ะ แล้วเพื่อนอั้มในโต๊ะที่ได้ยินอั้มคุยกับเขา เพื่อนอั้มบอกเขาว่า...ขอโทษนะคะ หยุดเถอะ...แล้วไปซะ! มีเพื่อนคนนึงเป็นคนพูด (มีเพื่อนอั้มไปขอโทษเขาแทนอั้มมั้ย?)ก็เนี่ยแหละค่ะ เพื่อนเขาพูดว่า "ขอโทษนะ หยุดเถอะ แล้วไปซะ" แล้วอั้มไม่รู้ว่ามีคนที่รู้จักพูดกับเขาหรือเปล่า แต่ไม่มีการที่เพื่อนดึงแขนเขาออกไปคุยอันนี้ไม่มี เขาเดินออกไปก่อน"

คุยกับโน้ตเรื่องนี้หรือยัง เขาว่ายังไงบ้าง??

อั้ม พัชราภา : "คุยกับโน้ตแล้วค่ะ เนี่ยโน้ตก็อยู่ด้วย วันนั้นโน้ตทำหน้างงมาก โน้ตก็บอกว่าไม่มีการทักทาย เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ"

โน้ต วิเศษ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อทันทีว่า "ก็อย่างที่บอกคือนั่งกันอยู่ ผมนั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่อั้มเขานั่งหันหลังให้ทางเข้า จริงๆ ผมก็เห็นแล้วแหละว่าเก๋เขาเดินมา แต่ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขาที่จะไปทักทายอะไรเขา ผมก็อยู่เฉยๆ ของผม เสร็จปุ๊บก็ไม่ได้คิดอะไร พอเป็นจังหวะที่เขาเดินผ่านหลัง ผมก็รู้สึกว่ามีมือมาลูบที่ข้างหลังผม ผมก็มองหน้าทุกคน ทุกคนก็ทำหน้าตกใจ เพราะผมเองก็ตกใจว่าโห...งานเข้าตูแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งผมไม่ได้ทำอะไร แต่อยู่ดีๆ มาอย่างนี้ ผมก็เก็ตว่าอั้มจะคิดยังไง คนในโต๊ะจะคิดยังไง"

สนิทกับ เก๋ รุ่งนภา มากน้อยแค่ไหน??

โน้ต วิเศษ : "รู้จักเขาผิวเผิน คือเหมือนกับว่ารู้ว่าเขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เคยเจอกันนานแล้ว แต่ว่าไม่ได้สนิทกันแน่นอน ไม่มีเบอร์โทร. ไม่เคยคุยโทรศัพท์กัน ไม่มีอะไรที่เคยติดต่อกันเลยครับ (เก๋ยืนยันว่ารู้จักและสนิทกับโน้ต?)รู้จักอาจ จะรู้จัก แต่ไม่สนิทแน่นอน แล้ว ก็ที่เขาให้สัมภาษณ์ว่า เขาหันมาพูดกับผมว่า "เฮ้ย...มึงไม่รู้จักกูเหรอ" ผมยังพูดกับอั้มเลยว่าวิธีการพูดของเขาฉลาดมาก อย่างแรกที่เขาพูดว่ามึงไม่รู้จักกูเหรอ เขาไม่ได้พูดว่า "มึงไม่รู้จักกูเหรอ" นะ เขาพูดว่า "เฮ้ย โน้ตไม่รู้จักเก๋เหรอ" ผมก็บอกอั้มว่าผมไม่ได้สนิทขนาดอย่างที่เขาทำ คือผมก็ไม่อยากจะพูด แต่ผมคิดว่าคนในนั้นที่โต๊ะ ทั้งเพื่อนผมและเพื่อนเขาคงรู้ว่าอั้มจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เขากระทำ ผมก็กลัวว่าอั้มจะคิดอะไรมากหรือเปล่า แต่ผมรู้ว่าอั้มรู้ว่าผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วก็ที่เขาพูดว่า "มึง..." ผมบอกแล้วว่าเขาพยายามใช้คำพูดให้ดูสนิท ผมก็ไม่อยากให้มันมีปัญหาอะไร"

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานหรือยัง??

โน้ต วิเศษ : "สิ่งที่อั้มบอกว่ามันนานมาแล้ว เพราะจริงๆ อั้มเขาไม่อยากพูดถึงข่าวนี้แล้ว คนอ่านคงน่าจะเข้าใจว่าที่บอกว่าเหตุการณ์มัน นานมาแล้วเนี่ย เพื่อที่เขาต้องการหลบประเด็น ไม่อยากให้เป็นประเด็น ไม่อยากจะบอกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้น สำหรับอั้มแล้วข่าวแบบนี้เป็นสิ่งสุดท้าย ที่เขาอยากให้เกิดขึ้นเลย (อั้ม-โน้ต เคลียร์ประเด็นนี้กันเข้าใจดีแล้วใช่มั้ย?) คือโน้ตกับอั้มพูดจริงๆ ไม่มีปัญหากันเรื่องนี้อแน่นอน เขาก็เห็นว่าผมนั่งเฉยๆ (หัวเราะ) ไม่มีปัญหาแน่ (อั้มพูดแทรกไม่มีเลยเรื่องนี้ ) ผมแค่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาออกมาพูดมันไม่ถูกต้องครับ"

โน้ต อยากฝากอะไรถึงเก๋มั้ย?

โน้ต วิเศษ : "ผมไม่ฝากอะไรดีกว่าครับ"

อั้ม อยากเคลียร์ตรงจุดไหนอีกมั้ย ที่คิดว่าพูดไม่ตรงกัน??

อั้ม พัชราภา : "ที่ไม่ตรงก็คือ คำพูดที่เขาพูดว่า "แล้วเก๋ก็พูดกับอั้มที่ว่า ขอโทษนะคะเมื่อกี้พี่ได้ยินแล้วนะว่าเก๋กับโน้ต รู้จักกันจะได้ไม่ต้องมามี ปัญหากัน..." เขาไม่ได้พูดอะไรเลย (เน้นเสียง) เขานิ่งอึ้งอย่างเดียว เขาพูดกับอั้มแค่คำเดียวว่า "รู้จักค่ะ" แล้วก็ถามโน้ตแค่อีกคำเดียวว่า "โน้ตไม่รู้จักเก๋เหรอ" แค่นั้นเอง ที่เขาพยายามผูกเรื่องพูดมาเนี่ย เขาไม่ได้พูดแบบนั้นเลยค่ะ"

คิดจะเคลียร์กันนอกรอบมั้ย??

อั้ม พัชราภา : "ก็คงไม่ได้โทรเคลียร์อะไรกับเขา เพราะเราก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขา ไม่ได้รู้จักอะไรกับเขา อั้มคงคิดว่าเขาอาจจะโกรธอั้มหรือเปล่า ที่วันนั้นนักข่าวสัมภาษณ์อั้มว่า...ไปมีปัญหากับไฮโซคนนึงเหรอ? คืออั้มพูดจริงๆ ว่าอั้มงง!?! อั้มไม่รู้ว่าอั้มไปทะเลาะหรือมีปัญหากับไฮโซ คนไหน แต่พี่นักข่าวสะกิดบอกว่าดาราคนนั้นไง อั้มก็อ๋อ ถ้ามีปัญหาก็มีกับดาราคนนึง ที่เขาไม่ได้เล่นละครแล้ว เขาผันตัวเองมาเป็นเซเล็บฯ แล้ว อั้มก็พูดแบบนี้ อั้มไม่รู้ว่าเขาจะเก็บไปคิดมากหรือเปล่ากับคำพูดของอั้ม แล้วอั้มก็ไม่มีความจำเป็นที่จะไปหึงหวงเขา"

"อั้ม อยากจะบอกว่า อั้มจะหึงไปทำไม เพื่อนโน้ตผู้หญิงก็มีเยอะแยะ กอดคอถ่ายรูปอั้มยังไม่หึงเลย เพราะเขาเป็นเพื่อนกัน แต่เนี่ยไม่เข้าใจว่ามาลูบทำไม เขาเป็นผู้หญิงเขาก็ดูไม่ดี ถ้าเขามากับแฟนเขาตั้งแต่ต้นเขาคงไม่กล้าลูบ ไม่กล้าทำอย่างนั้น แต่บังเอิญว่าแฟนเขามาทีหลัง เพราะอั้มเห็นแฟนเขามาทีหลัง มาตอนเลิกแล้ว เขาก็เดินจับมือมาทักทายเพื่อนๆ ที่โต๊ะนั่นแหละ ถ้าเขามากับแฟนเขาตั้งแต่แรก เขาคงไม่กล้าทำแบบนี้หรอก เพราะแฟนเขาคงมองเขาไม่ดี และตัวเราก็มองเขาไม่ดีเหมือนกัน โดยส่วนตัวอั้มยืนยันเลยว่าไม่ได้ฉุดเขา ไม่ได้กระชากเขามา (รู้จักหรือสนิทกับเก๋ส่วนตัวมั้ย?) อั้มไม่ได้รู้จักเลย อั้มรู้แค่ว่าน้องคนนี้เป็นดาราเท่านั้นเอง...เท่านั้นเองจริงๆ (เน้นเสียง) แล้วก็ไม่ได้มีเหตุผลจะไปหึงหวงเขาเรื่องอะไร"

เขาคุยกับคนสนิทว่า เขาเห็นใจ อั้ม รู้ว่าหวง โน้ต?

อั้ม พัชราภา : "ก็นั่นไงคะ เขาฉลาดที่จะเลือกพูด เขาดูข่าวต่างๆ หรือเปล่าว่าอั้มมีปัญหากับโน้ตอย่างโน้นอย่าง นี้ เลยเอามาผูกเรื่องปะติดปะต่อกันว่า อั้มต้องมีปัญหาแน่เลย แล้วออกมาเที่ยวทำไม ไม่เคลียร์ปัญหากันก่อนเหรอ เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เรายังดีๆ กัน คือเวลาอั้มมีปัญหากับโน้ตหรือข่าวต่างๆ เนี่ย คุยกันรู้เรื่องก็จบ ก็ออกไปเที่ยวกัน ไปสนุกสนานกันที่ร้านของพี่ชายโน้ต ไม่มีอะไรเลย สนุกสนานเฮฮากัน ตอนที่เขาลูบโน้ตตกใจทำทำหน้าเหวอมาก อั้มก็เข้าไปสะกิดไหล่เขาแล้วก็ถามเขา แต่อั้มเชื่อว่าเขาเห็นหน้าเราเขาคงอึ้งอ่ะ คือตอนแรกมั่นใจว่าเขาคงไม่เห็นเรา เพราะเรานั่งหันหลัง"

ส่วน ประโยคที่ เก๋ ให้สัมภาษณ์ว่า "...บางทีคนเราที่ดูแรงๆ พูดตรงๆ บางทีก็เสแสร้ง มันคือการสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวเองในวงการ "อั้ม พัชราภา" เปรยว่า

"คือ อั้มยืนยันว่าตัวเองเป็นคนที่พูดตรงๆ อั้มไม่เคยหาเรื่องใครก่อน เวลาถามอาจจะใช้น้ำเสียงไม่ลงด้วยคะ-ขา ยอมรับว่าไม่พอใจ แต่ไม่ได้ไปละลานใครแน่นอน ไม่ได้ไปฉุดกระชากใคร"

คิดว่าเขาเป็นอีกหนึ่งคนที่เกาะกระแสเรามั้ย?

อั้ม พัชราภา : "อั้มคิดว่าเขาคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในวงการอะไรแล้ว แต่อั้มก็อยากจะบอกว่าตัวของอั้มเป็นดารา อั้มไม่ได้มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์เรื่องราวของตัวเอง อั้มสร้างภาพให้ตัวเองดูดีไม่ได้ อั้มเสนอแต่สิ่งที่เป็นความจริงของอั้มเท่านั้นเอง อั้มยืนยันและก็พูดอย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าอั้มผิดอั้มก็บอกผิด แต่นี่อั้มคิดว่าเขาคงไม่พอใจหรือเปล่าที่อั้มพูดว่า เป็นดาราแล้วผันตัวเป็นเซเล็บฯ อั้มก็ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขาโกรธอั้มหรือเปล่า หรือว่าเขาเสียหน้าที่เราไปถามเขาว่ารู้จักกันขนาดที่จะต้องลูบกันขนาดนี้ เลยเหรอ ตอนที่ถามมีน้องคนนึงอยู่ด้วย"

"ช่วงนี้มีแต่ข่าวอั้มบ่อย (ฝืนหัวเราะ) มีแต่ข่าวตลอดเวลา แต่คราวนี้อั้มรู้ว่าโน้ตไม่ได้ทำอะไรแน่นอนโน้ตงง โน้ตอึ้งเลยอ่ะ เพราะเขากลัวมีปัญหา แล้วที่เขาพูดประมาณว่าผู้ชายของเรากลัวเราหรือเปล่า ผู้ชายของเราไม่ได้กลัวเราแต่เขาให้เกียรติเราค่ะ"

หลังจากเห็นบทสัมภาษณ์ โกรธมั้ย??

อั้ม พัชราภา : "(อึ้งไปนิดนึง) โอ้โห เพื่อนอั้มโกรธมากกว่าอั้มอีก ทุกคนเห็นคำสัมภาษณ์ของเขาตั้งแต่เช้าในเว็บๆ นึง แต่อั้มทำงานอยู่ อั้มรู้สึกว่าเขาเก่งในการรวบรวมคำพูด...อั้มมีปัญหากับโน้ตก็น่าจะไป เคลียร์กันก่อน เราไม่ได้มีปัญหากันค่ะ เราอยู่กันดีๆ ค่ะ"

‎"โอเด็ต" โผล่เคลียร์ข่าวฉาว ท้อง+ขายตัว+ค้ายา เผยคืนเงิน "โย" แล้ว

ห่างหายไปพักใหญ่สำหรับนางแบบสาว โอเด็ต เฮนเรียต แจ็คโคมิน เพราะไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่ตลอด ล่าสุดเจ้าตัวเผยเจอข่าวฉาวของตัวเองถึงกับช็อค เริ่มตั้งแต่ ขายตัว, ติดยา, ตั้งท้อง 5 เดือน, แต่งงานแล้ว, จับเศรษฐี เรียกว่าจัดเต็มเลยทีเดียว ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและปัจจุบันเธอก็ยังคงคบหาดูใจอยู่กับแฟนฝรั่งคนเดิมนามว่า แพทริค เจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียนั่นเอง

ส่วนกรณีข่าวเรื่องเงินๆ ทองๆ กับนางแบบรุ่นพี่ โย ยศวดี นั้น เธอยอมรับว่ามีการติดค้างกันจริง แต่จำนวนเงินแค่ 2 หมื่นบาท ซึ่งเธอก็ได้ทำการโอนเงินให้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีการเกาเหลากัน ส่วนที่เป็นเรื่องเป็นราวลุกลามขึ้นมา ก็เพราะสาวโย ติดต่อเธอไม่ได้ จึงเอาหมายศาลไปโพสวงบนเว็บทวิตเตอร์นั่นเอง...

มีข่าวว่าติดยา?

"ใครพูดน่ะมันก็มีข่าวอย่างนี้มาตั้งนานเด็ตว่าคนในวงการบันเทิงมันก็ต้องมีข่าวอย่างนี้ออกมาอยู่แล้วน่ะ ขึ้นอยู่ว่าเราจะพินิจพิจารณายังไงอย่างโอเด็ตนี่ไม่ใช่ครั้งแรก โอเด็ตถือว่าทำใจเราอยู่ในสังคมแบบนี้ แต่ที่โอเด็ตเสียใจคือโอเด็ตไม่ได้อยู่เมืองไทยน่ะ"

ข่าวว่าไปขายตัว?

"ซ้อเจ็ดใช่ไหมคะ มีผู้จัดการส่งอีเมล์มาให้ดูบอกว่าเราไปทำงานแบบนั้นแล้วก็ท้อง 5 เดือน แล้วก็ไปจับได้เศรษฐีอะไรอย่างเนี้ยะขอบอกว่าไม่จริงอย่างแรงค่ะ คืออ่านแล้วตอนแรกเราช็อคไปเลย เฮ้ยเราไม่ได้อยู่เมืองไทยทำไมเรายังโดนขนาดนี้ ก็โทรไปเล่าให้ที่บ้านฟังที่บ้านก็แบบว่าเอาน่ะเค้าก็พูดปลอบใจเค้าบอกว่ามีคนคิดถึง ถึงจะในแง่ไม่ดีก็ยังดีกว่าไม่มีคนคิดถึงเลย  โอเด็ตก็เลยแบบคิดได้ยังงั้นก็ดีอะไรอย่างเนี้ยะ"

มี ภาพอุ้มเด็ก?

"หลานน่ะ มันมาจากในเฟชบุ๊คทั้งนั้นเลยค่ะ คือแบบโอเด็ตฝากบอกเลยนะคะว่า แฟนๆ หรือเพื่อนๆ อย่างเนี้ยะถ้าอยากติดตามข่าวโอเด็ตก็เข้าไป ในเฟชบุ๊คโอเด็ตหรือเข้าไปในทวิตเตอร์โอเด็ตก็ได้ ไม่ต้องไปอ่านของอย่างงั้น คือแบบไม่มีความเป็นจริงเลย ถ้าถ่ายเห็นหุ่นตอนเนี้ยะจะรู้ว่าโอเด็ตไม่ได้ท ้อง 5 เดือนไม่ได้ท้อง 6 เดือนไม่ได้แต่งงานไม่ได้อะไรเลยทั้งนั้นน่ะค่ะ ไปทำงานอย่างเดียว และสรุปโอเด็ตมีแขนมีขาน่ะ มีกำลังหาเงินได้ โอเด็ตไม่ต้องไปทำงานแบบนั้นให้เสียชื่อเปล่าๆ น่ะค่ะ"

แล้วอย่างนี้จะฟ้องไหม? 

"ฟ้องไปเพื่ออะไรน่ะ พี่ก็รู้โอเด็ตอยู่ในวงการมาตั้งกี่ปี โอเด็ตไม่เคยทำร้ายใครมีแต่คนทำร้ายโอเด็ตตลอด โอเด็ตไม่ได้เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร (เสียใจไหม?)เซ็งมากกว่า ที่้บ้านก็จะไม่เข้าใจวันก่อนไปเจอแม่ แม่ก็บอกไหนอ่ะตั้งชื่อลูกว่าอะไร โอเด็ตก็บอกหนูไม่ได้ท้อง(หัวเราะ)"

เรื่องค่าโทรศัพท์กับโย ตกลงว่ายังไง?

"เรื่องนี้คุยกับพี่โยแล้ว หลายคนยังไม่เข้าใจ อันนี้ยอมรับว่าเป็นโอเด็ตจริงแต่เรื่องนี้มันมีมานานแล้ว โอเด็ตกับพี่โยเนี่ยรู้จักกันมาเกือบ 7 ปี สมัยก่อนเราเป็นรูมเมทที่สิงคโปร์เป็นรูมเมทที่ฮ่องกงทำอะไรมาทุกอย่างด้วยกันวันนึงเราก็ใช้ผู้จัดการ ซึ่งผู้จัดการก็ใช้แมสเซ็นเจอร์คนเดียวกัน พี่เค้าก็ไปซื้อซิมการ์ดให้ในชื่อของโอเด็ตกับพี่โยพอโอเด็ตย้ายไปมาเลย์โอเด็ตก็ลืมว่าใช้เบอร์นั้นอยู่ เพราะโอเด็ตก็ใช้ซิมมาเลย์ใหม่"

"แล้วก็บิลโทรศัพท์มันมา 2 หมื่นบาทในข่าวบอกว่าครึ่งล้าน 2 หมื่นแต่ว่าพอมันมา 1 ปีมันก็มีค่าดอกเบี้ยแล้วมันก็ทบดอก แล้วเราไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย แล้วก็พี่โย ก็เหมือนอะไรไม่รู้คือไม่ติดต่อเรา ไม่พยายามติดต่อเราไม่ทำอะไรทั้งนั้น แล้วพอเรื่องมันบานปลาย 6 เดือนแล้วอะไรอย่างนี้ พอโดนหมายศาลมา แล้วหนูก็ไปแอลเอ 3 เดือน หนูอยู่มาเลย์ แล้วหนูก็ไปฮ่องกง ออสเตรเลีย หนูทำงาน หนูเดินทางตลอดอย่างเนี้ยะ เค้าไม่ติดต่อหนู เค้าก็ไปติดต่อเพื่อนหนูแทน"

"เพื่อนหนูก็ไม่รู้ว่าหนูอยู่ไหนเพราะว่าหนูอยู่บนเครื่องบินตลอด แล้วพอ 1 เดือนถัดมาเค้าโดนหมายศาลเค้าก็เลยไปโพสลงทวิตเตอร์เสร็จ แล้วเพื่อนหนูก็เอามาให้หนูดู หนูก็อ้าวพี่โยทำไมโพสแบบเนี้ยะล่ะ มีอะไรก็ติดต่อหนูดิเงินแค่นี้หนูจ่ายได้ เอออย่ามาทำให้เป็นเรื่องเป็นราว เค้าก็บอกว่าเออพี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจพี่แค่โพสลงทวิตเตอร์เพราะว่าพี่ติดต่อเราไม่ได้"

"หลังจากนั้นพอสองวันถัดมาเราก็จ่าย เราก็โอนเงินให้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เคลียร์แล้วไม่มีอะไรเลย เราก็ขอโทษแมสเซ็นเจอร์ที่ทำให้เดือดร้อน แค่เค้าโดนหมายศาลแล้วเค้าติดต่อเราไม่ได้เค้าก็ไปหาพี่โย แค่ภายในเวลา 3 อาทิตย์น่ะที่เค้าติดต่อเราไม่ได้ เค้าก็แบบเป็นเรื่องเป็นราวพอหลังจากนั้นเรื่องมันก็คือเหมือนแบบพี่ๆ นักข่าวไปอ่านเจอในทวิตเตอร์ ก็ทำให้เรื่องมันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาว่าเค้าจะฟ้องเราบ้างเป็นแบบเป็นเงินครึ่งล้าน ซึ่งเราอ่านแล้วแบบไม่ใช่น่ะ"

ความสัมพันธ์กับโย ณ วันนี้? "ก็ไม่มีอะไร วันก่อนพี่โยก็เฮ้ยเด็ตได้ข่าวว่าท้องจริงหรอ หนูก็บอกบ้าไม่จริง เค้าก็บอกมีอะไรก็โทรมาคุยกับพี่ได้โทรมาหาพี่ได้"

ตอนนี้จ่ายไปแล้ว? "หนูจ่ายไปตั้งแต่เดือนแรกแล้วค่ะ แต่เรื่องมันคือเหมือนเรื่องมันเพิ่งมาบูมตอน 4 เดือนให้หลัง หลังจากนั้นไม่มีใครจะฟ้องอะไรทั้งนั้นค่ะ (โยบอกว่าโอเด็ตไม่มีเงิน?)จ่ายไปแล้ว จ่ายไปหมดเรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว (เท่าไหร่?)แต่ยอดทั้งหมดตอนเนี้ยะมัน 3 หมื่นแต่เพราะว่ามันปีนึงไงคะ มันก็ทบต้นทบดอก มันก็ไม่มีปัญหาอะไรน่ะ"

"งั้นก็คงคนละเรื่องกันแล้วล่ะเพราะ 5 หมื่นหนูไม่เคยโอนหนูไม่เคยติดเงินใครถึงขนาดนั้นน่ะ แล้วที่หนูติดเค้าบิลมันแค่สองหมื่นหนูโอเคหนูยอมรับเพราะเค้าติดต่อหนูไม่ได้แต่ตราบใดเมื่อตอนที่หนูรู้เรื่องปุ๊บหนูก็จัดการเคลียร์แล้วหนูก็โทรบอกพี่เค้าแล้วหนูไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเดือดร้อนในชีวิตนี้หนูไม่เคยหาเรื่องใครเลย"

ผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 83 ออกมาแล้ว!

The King’s Speech กลายเป็นผู้ชนะบนเวทีออสการ์ประจำปี 2011 ด้วยการคว้ารางวัลในสาขาใหญ่ ๆ อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของเต็งหามอย่าง คอลิน เฟิร์ธ “ผมคิดว่านี่คือจุดสูงสุดในอาชีพของผมแล้วครับ” เฟิร์ธ กล่าวระหว่างได้รับรางวัล

เช่นเดียวกับ ทอม ฮูเปอร์ ที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมเฉือนตัวเต็งอย่าง เดวิด ฟินเชอร์ แห่ง The Social Network ไปในที่สุด ผู้กำกับชาวอังกฤษขอบคุณนักแสดงทั้งสองของเขาอย่าง เฟิร์ธ และ เจฟฟรีย์ รัช เป็นอันดับแรก “ขอบคุณนักแสดงที่ยอดเยี่ยมของผม ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะพวกคุณ”

ว่าที่คุณแม่ นาตาลี พอร์ตแมน คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Black Swan ไปได้ตามความคาดหมาย

สำหรับในสาขาบทภาพยนตร์ เป็นตัวเต็งทั้งสองที่แบ่งกันไปคนละรางวัล นักเขียนบทชื่อดัง แอรอน ซอร์คิน คว้ารางวัลดัดแปลงยอดเยี่ยมจาก The Social Network ไปครอง ขณะที่ เดวิด ไซด์เลอร์ก็รับรางวัลสาขาบทดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก The King’s Speech ไปครอง

The Social Network ยังคว้ารางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมจากฝีมือของ เทรนต์ เรซเนอร์ เจ้าพ่อเพลงแนวอินดัสเตรียล แห่งวง Nine Inch Nail

เคิร์ก ดักลาส นักแสดงอาวุโสวัย 94 ปี ขึ้นเวทีมาเพื่อประกาศชื่อของ เมลิซ่า ลีโอ จาก The Fighter ให้เป็นนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุด โดย ลีโอ วัย 50 ปี ที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิง ยอดเยี่ยมเมื่อสองปีก่อนมาแล้ว นอกจากนั้น The Fighter ยังกวาดรางวัลในสาขานักแสดงสมทบชายไปด้วย กับตัวเต็งอย่าง คริสเตียน เบล ที่ได้กล่าวขอบคุณ “ดิ๊กกี้ เอ็กลุน” บุคคลจริงของตัวละครที่ เขาสวมบทบาทจนได้รับรางวัลครั้งนี้ด้วย

สำหรับระหว่างการขึ้นรับ รางวัลของ เมลิซ่า ลีโอ เกิดเรื่องชวนให้อึ้งปนขำเมื่อเธอ ตื่นเต้นกับรางวัลจนหลุดปากคำหยาบ “F—K” ออกมา ซึ่งเจ้าตัวกล่าวถึงเรื่องนี้ เมื่ออยู่หลังเวทีว่า “"เป็นเรื่องไม่เหมาะสมจริง ๆ สำหรับการคำแบบนั้นในสถานที่เช่นนี้ ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะสำหรับทุกคน ส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษที่ฉันใช้ จะเป็นภาษาประเภทบ้าน ๆ แบบนี้แหละค่ะ” ฝ่าย คริสเตียน เบล จากหนังเรื่องเดียวกัน ก็พูดถึงเรื่องนี้ว่า “เมลิซ่า ผมคงจะไม่หลุดปากคำ F เหมือนเธอแน่ ๆ ที่ผ่านมาผมได้พูดคำนี้มามากพอแล้ว”

ฝ่าย Inception ที่ได้เข้าชิงรางวัลถึง 8 สาขา ก็คว้ารางวัลมาได้ถึง 4 สาขาเรียกว่าสูงสุดเท่ากับ The King’s Speech คือ ตัดต่อ, ตัดต่อเสียง, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ที่เป็นการเอาชนะหนังดังเรื่องอื่น ๆ อย่าง Alice in Wonderland, Hereafter และ Harry Potter and the Deadly Hallow ไปได้

อนิเมชั่นยอดเยี่ยม ที่ตกเป็นของ Toy Story 3 ผลงานรายได้พันล้านเหรียญฯ ผู้กำกับ ลี อันคริช ขึ้นเวทีขึ้นมารับรางวัลพร้อมกล่าวถึง Pixar บริษัทผลิตการ์ตูนแห่งนี้ว่าเป็น “สถานที่ทำหนังที่สุดยอดที่สุดในโลก” เป็นการปิดตำนานอันยิ่งใหญ่ของ “คาวบอยวู้ดดี้” และ “บัส ไลต์เยียร์” สองตัวละครจาก Toy Story ซึ่งได้ทำความรู้จักกับแฟน ๆ เมื่อ 15 ปีก่อน นอกจากหนัง แรนดี้ นิวแมน ยังคว้ารางวัลเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการ์ตูนสุดฮิตเรื่องนี้ด้วย เป็นรางวัลออสการ์ตัวที่ 2 ของนิวแมนหลังจากเข้าชิงมาแล้วถึง 20 ครั้ง

แต่ที่ถือว่าเหนือความคาดหมายอยู่นิดหน่อยก็คือ ในสาขาหนังภาษาต่างประเทศเมื่อตัวเต็งอย่าง Biutiful จากประเทศเม็กซิโก ต้องพลาดรางวัลให้กับ In a Better World หรือ Hævnen จากเดนมาร์ก

ที่ ถูกจับตามองที่สุดอีกสาขาก็คือ รางวัลสารคดียอดเยี่ยมซึ่งผลงานเรื่อง Exit Through the Gift Shop ของศิลปินลึกลับ “แบ็งค์ซี่” ผู้ไม่เคยเปิดเผยตัวจริงมาก่อน มีชื่อเข้าชิงรางวัลด้วย จนกลายเป็นคำถามว่า แบ็งค์ซี่ จะมาปรากฏตัวในงานด้วยหรือไม่ แต่สุดท้ายโอกาสขึ้นเวลาของศิลปินแนวกราฟิตี ผู้เป็นปริศนาก็หมดไป เมื่อโอปราห์ วินฟรีย์ ขึ้นเวทีมาประกาศให้ Inside Job เป็นผู้ชนะรางวัลในสาขานี้ โดยผลงานของ ชาร์ลส์ เฟอร์กูสัน เรื่องนี้เล่าเรื่องของปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญเมื่อปี 2008

สำหรับออสการ์ประจำปี 2011 ซึ่งจัดขึ้นที่ โกดัก เธียเตอร์ ฮอลลีวูด ในแคลิฟอร์เนียเช่นเคย นับว่าเป็นออสการ์ที่รางวัลถูกกระจายไปให้กับ หนังทั้งหลายเรื่อง โดย The King’s Speech และ Inception คว้าไป 4 รางวัลเท่ากัน, The Social Network ได้ไป 3 รางวัล และมีหนังที่ได้รางวัล 2 สาขาอยู่ 3 เรื่องได้แก่ Alice in Wonderland, The Fighter และ Toy Story 3 ส่วนหนังอกหักประจำออสการ์ครั้งนี้คงจะเป็น True Grit ที่ชิงรางวัล 10 สาขาแต่ต้องกลับบ้านมือเปล่า

ผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 83
กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
Alice in Wonderland : Stefan Decha

ถ่ายภาพยอดเยี่ยม
Inception : Wally Pfister

นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
เมลิซ่า ลีโอ - The Fighter

อนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยม
The Lost Thing

ภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม
Toy Story 3

บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
The Social Network : Aaron Sorkin

บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
The King's Speech : David Seidler

ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
In a Better World (Hævnen) : Susanne Bier(เดนมาร์ก)

นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
คริสเตียน เบล - The Fighter

ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
The Social Network : Trent Reznor, Atticus Ross

บันทึกเสียงยอดเยี่ยม
Inception

ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม
Inception

แต่งหน้ายอดเยี่ยม
The Wolfman

ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
Alice in Wonderland : Colleen Atwood

สารคดีขนาดสั้นยอดเยี่ยม
Strangers No More

ภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม
God of Love

ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม
Inside Job : Charles Ferguson

เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
Inception

ตัดต่อยอดเยี่ยม
The Social Network : Kirk Baxter, Angus Wall

เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
Toy Story 3 : Randy Newman ("We Belong Together")

ผู้กำกับยอดเยี่ยม
ทอม ฮูเปอร์ : The King's Speech

นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
นาตาลี พอร์ตแมน : The Black Swan

นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
คอลิน เฟิร์ธ : The King's Speech

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
The King's Speech

คนดูตะลึง! ขยำเป้า-บีบนมบนเวที Spirit Awards

โดยงานประกาศผลรางวัล Spirit Awards ที่จัดขึ้นในซานตาโมนาโก แคลิฟอร์เนีย พอล รัดด์ นักแสดงหนุ่มชื่อดังต้องเป็นผู้เชิญรางวัล Best Screenplay ร่วมกับนักแสดงสาวเซ็กซี่ เอวา แมนเดส

ซึ่งขณะขึ้นประกาศอยู่ที่หน้าไมค์ นักแสดงสาวผิวเข้ม โรซาริโอ ดอว์สัน ก็เดินขึ้นเวทีไปหาทั้งคู่ก่อนที่เธอจะใช้มือขยำเป้า พอล รัดด์ ซึ่งสร้างความตกตะลึงไปทั่ว แม้ว่าตัวนักแสดงหนุ่มจะทำท่าทางตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ยังคงดูมีความสุขและปล่อยให้ดอว์สันขยำเป้าของเขาต่อไป

หลังจากที่เอวา เมนเดส ผู้ประกาศรางวัลได้เผยผู้ชนะรางวัลออกมาว่าเป็น The Kids Are Alright ที่นำแสดงโดย จูลีแอน มัวร์ และ แอนเนทท์ เบนนิง พอล รัดด์ จึงได้ปัดมือของโรซาริโอ ดอว์สัน ออกแต่ความตกตะลึงยังไม่จบเท่านั้นเพราะเขาหันไปเอามือของตนเองขยำไปที่หน้าอกของเอวา เมนเดสแทน งานนี้ทำเอาคนดูต่างอ้าปากค้างบ้างก็หัวเราะขบขันกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที

รางวัล Independent Spirit Awards เป็นการมอบรางวัลที่จัดขึ้นโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Film Independent และมักจะจัดขึ้นในคืนก่อนการประกาศผลรางวัลออสการ์

โดยผู้ชนะในการประกาศผลรางวัลประจำปีนี้มีทั้ง นาตาลี พอร์ตแมน ที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Black Swan ทางด้าน เจมส์ แฟรงโก ได้รับรางวัลในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง 127 Hours ซึ่งเขามีชื่อเข้าชิงสาขานี้ในรางวัลออสการ์ ด้วยซึ่งต้องขับเคี่ยวกับ คอลิน เฟิร์ธ จากภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล Independent Spirit Awards ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน

"แคทเธอรีน" โวยลั่นโดนต่อย "ไมเคิล ดักลาส" พุ่งใส่ปาปารัสซีหวังเอาคืนแทนเมีย

คู่รักนักแสดงดังได้สร้างความตื่นตะลึงขณะไปถึงโรงแรมที่พักในกรุงลอนดอน เมื่อแคทเธอรีน ซีตาโจนส์ โวยวายใส่ช่างภาพปาปารัสซีที่ตามเก็บภาพของเธอว่าหนึ่งในนั้นมีคนทำร้ายเธอหลังจากที่เธอพยายามรวบตัวเขาแต่ช่างภาพอาศัยช่วงชุลมุนวิ่งหลบออกมาอย่างรวดเร็วโดยเธอร้องเสียงดังขึ้นมาว่า
"เขาต่อยฉัน! เธอกล้าดียังไงมาต่อยฉัน!"
"เรียกตำรวจมาตอนนี้เลย เขาต่อยฉัน! ผู้ชายที่เข้ามาในนี้เขาต่อยฉัน!" 


นักแสดงสาวชื่อดังโวยวายขณะเดินเข้าโรงแรม

ทางด้าน ไมเคิล ดักลาส สามีรุ่นเดอะเมื่อได้ยิน เสียงโวยวายของภรรยา ก็รีบจัดการให้เธออยู่ในที่ปลอดภัยก่อนเดินออกมานอกประตูเพื่อตามหาตัวช่างภาพปาปารัสซีรายนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เขาระบายอารมณ์โกรธแค้นแทนภรรยา

แคทเธอรีน ซีตาโจนส์ เดินทางไปอังกฤษครั้งนี้เนื่องจากเธอได้รับเกียรติจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ให้เข้าเฝ้าในพ ระราชวังบัคกิงแฮม พร้อมกับครอบครัวทั้ง ไมเคิล ดักลาส วัย 66 ปี และลูกชายทั้ง 2 คนทั้งดีแลน วัย 10 ปี และ คารีส วัย 7 ปี เพื่อรับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ Commander of the British Empire (CBE) เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา จากการที่เธอทุ่มเทอุทิศตัวให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และงานการกุศลต่างๆ  โดยเจ้าตัวได้เปิดเผยความรู้สึกว่า


 "มันมีความหมายมากเลยที่ได้กลับบ้านพร้อมกับครอบครัว และได้รับเกียรติขนาดนี้ มันตื้นตัน จนไม่รู้จะพูดยังไงดี มันมีค่ามากๆเมื่อไมเคิลที่สุขภาพดีมาอยู่ร่วมยินดีกับฉันด้วย"


"แน่นอนว่าฉันกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้พูดคุยกัน ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เข้าเฝ้าพระองค์ ไมเคิลกำลังเข้ารับการรักษาตัว ดังนั้นพระองค์ทรงแสดงความห่วงใยในเรื่องนี้มาก แต่ตอนนี้พระองค์ทรงยินดีที่ได้ทราบว่าเขาได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว"
นักแสดงสาวชื่อดังกล่าว

“หนุ่ม กรรชัย” ยื่นฟ้องญาติหุ้นส่วนไอซ์มอนสเตอร์แล้ว โต้ ซื้อรถให้ “ตาล”

เล่นเอาเจ้าตัวถึงออกปากเซ็งเลยทีเดียวสำหรับพิธีกรชื่อดัง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นปีชง เลยทำให้เจอแต่ปัญหารอบตัวพาลให้คิดหนักทั้ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ล่าสุดเพิ่งตรวจเจอคือโรคเส้นปลายประสาท อักเสบ ทำให้ชาบริเวณศีรษะไปครึ่งหนึ่ง ส่วนปัญหาด้านธุรกิจ ไอส์มอนสเตอร์ที่ เจ้าตัวได้หุ้นกับญาติพี่น้องแล้วประสบปัญหาถูกถอนหุ้นไปโดย ไม่รู้ตัว พิธีกรหนุ่มได้แจงว่าตอนนี้ได้ยื่นฟ้องทั้งคดีแพ่งและอาญาไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยกันเอง ซึ่งมีตัวกลางคอยเจรจาให้
     
“เรื่องสุขภาพตอนนี้ก็ดีขึ้นครับ แต่ก็ยังมีอาการปวดหลังปวดต้นคออยู่บ้างแต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถึงกับหมอนรองกระดูกเคลื่อนนะครับ ซึ่งผมเองเพิ่งไปตรวจเจอคือเส้นปลายประสาทอักเสบจะชาที่หัวไปครึ่งนึง มันเกิดจากความเครียด อาการก็ยังมีชาๆ อยู่บ้างแต่ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ คุณหมอก็บอกว่าไม่ให้เครียดให้ทานยาทานวิตามินบำรุงเส้นประสาท มันก็ทรมาน เพราะผมจะปวดตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงขมับจะมีอาการชาอยู่ ในส่วนของความดันตอนนี้ก็เริ่มลดลง แต่พักหลังไม่ได้ไปเช็คเลยอาจจะมีเพิ่มมาบ้างเพราะหลังนี้กินแหลกเหมือนกัน"

 "สำหรับ ไอซ์มอนสเตอร์ ตอนนี้ก็ได้มีการฟ้องแล้วทั้งอาญาและทางแพ่ง คงต้องรอดูอีกสักพักหนึ่งว่าจะเป็นยังไงเพราะตอนนี้อีกฝั่งก็ติตต่อเข้ามา เพื่อที่จะเจรจา แต่ไม่ถึงขึ้นไปไกล่เกลี่ยที่ศาล คือมีคนกลางติดต่อมาไกลเกลี่ยกับผมว่าฝั่งนู้นอยากจะคุยด้วยให้ชัดเจน ซึ่งผมก็เห็นว่ามันเป็นเครือญาติเป็นพี่น้องกันผมก็ไม่อยากที่จะต้องถึงขั้น รุนแรงมากนัก เพราะถ้าเกิดมาคุยแล้วลงตัวด้วยดี แล้วก็มีความชัดเจนกับประเด็นต่างๆไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ถือหุ้นที่ถูกถอนออกไป แม้กระตั้งเงินปันผลหรือเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่เราเข้าไปดูในบริษัท ความสูญเสียมันมีอยู่แล้วแต่มันเป็นธรรมดา เหมือนกับว่าเราเป็นพี่ถ้าน้องดื้อก็ต้องมีทำโทษกันบ้าง แต่อยู่ที่ว่าทางฝั่งนั้นจะทำยังไงบ้าง ก็ต้องมาแสดงเจตจำนงค์ที่ชัดเจนและยุติธรรม"   

"โอกาสที่จะจบลงด้วยดีจะมีไหม ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันเลยก็ต้องรอดูกันไปก่อน แต่ถ้าเกิดมันไม่เป็นไปตามที่เรียกร้องหรือสิทธิของผมเอง มันก็ต้องรอไปถึงขั้นไปไต่สวนที่ศาล มันก็มีหลายเรื่องนะ อย่างเช่นเรื่องเอาชื่อผมออกจากหุ้นส่วนทั้งที่ไม่ได้รับความยินยอมจากตัวผม ซึ่งก็ถือว่าผิดเพราะการยื่นเอกสารตัวนี้ที่กระทรวงพาณิชย์ถือว่าเป็นการไป จดเท็จ และที่สำคัญที่สุดเอกสารผู้ถือหุ้นเป็นเอกสารมหาชน เพราะฉะนั้นมันเป็นความผิดอยู่แล้ว รวมถึงการประชุมผู้ถือหุ้นรวมถึงเงินปันผล ก็ต้องเคลียร์กันเยอะ"
     
“เรื่องเรียกค่าเสียหายตอนนี้ยังไม่ได้บอกนะครับ ยังไม่ได้คุยเพราะตอนนี้ก็กำลังคำนวณอยู่ ทั้งตัวเราที่ลงทุนเงินของเราก็ลงอยู่แล้ว และการที่เราเอาตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้นคือการลงทุนเหมือนกัน มันก็เป็นผลประโยชน์ อย่างเช่นไอครีม น้ำแข็งใสอื่นๆมาติดต่อให้ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์เท่ากับผมขาดรายได้ตรงนี้ หรือแม้กระทั่งถ้าเขาโต้แย้งกลับมาว่าผมเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์หรือเปล่า ผมก็ต้องย้อนกลับไปถามว่าถ้าผมเป็นพรีเซ็นเตอร์มันเป็นไปได้เหรอที่ผมไปถ่าย อัดให้กับแคนนอลเพื่อที่จะเอากล้องวงจรปิด 30 กว่าตัวมูลค่า 2 ล้านกว่าบาทมาติดที่ร้านทุกสาขาของ ไอซ์มอนสเตอร์ อันนั้นก็ถือว่าเป็นการลงทุนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นเหตุและผลที่ต้องมาคุยกัน จะมาพูดเฉยๆ ว่าผมไม่ได้ทำอะไร จะมาเรียกร้องเอาอะไร ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนที่รู้จักไอซ์มอนสเตอร์ ต้องรู้ว่ามันเป็นแบรนด์ของผม แต่พอวันนี้มันกลับมาเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งมันก็ไม่ถูกต้อง"
     
ยอมรับขอพินบีบีสาว “ตาล” ยัน ไม่ได้นัดกันไปเจอที่เชียงใหม่ แจง เจตนาที่ทวิตหากันแค่คำทักทายเท่านั้น โต้ จะซื้อรถให้ฝ่ายหญิง บอกเก็บเงินไว้รักษาตัวเองดีกว่า

 "ส่วนข่าวที่ออกมาว่าผมขอพินบีบีน้องตาล ซึ่งเรื่องนี้ก็งงเหมือนกันจริงๆ ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรเลย แล้วผมเองก็ไม่ค่อยได้ออกมาพูดเพราะทำแต่งานอย่างเดียวก็ดีเหมือนกันที่ วันนี้ได้ออกมาพูด จริงๆ แล้วเรื่องไม่ได้มีอะไรเลย ผมเล่นทวิตเตอร์ก็เจอกับน้องคนนี้ในทวิตเตอร์เขามีตัวตนจริงๆ ชื่อน้องตาล ก็มีอยู่ครั้งนึงผมก็ทวิตเตอร์ว่าจะไปเชียงใหม่ ก็ถามน้องเขาว่าน้องจะไปไหนค่ะ เขาก็บอกว่าเขาจะไปเชียงใหม่เหมือนกันแล้วก็บอกว่าโอเคไว้เจอกันนะ มันเป็นคำทักทาย  แล้วก็มีข่าวออกมาว่าผมนัดกับน้องเขาไว้ที่เชียงใหม่แล้ว ตัวผมไม่ได้ไป แต่จริงๆผมไปครับ ผมไปทำงานที่เชียงใหม่แต่ไม่ได้นัดน้องเขาที่เชียงใหม่ พอหลังจากนั้นกลับมาก็มีข่าวออกก็พยายามทวิตเตอร์คุยกับเขา แต่มันคุยในทวิตเตอร์ไม่รู้เรื่องผมก็เลยทวิตเตอร์ไปขอพินบีบี โดยการที่หลังใหม่ไปในทวิตเตอร์ มีการขอพินมา พอได้พินมาก็พูดคุยกันว่าทำไมเป็นแบบนี้เขาก็พิมมาให้ดูว่าเป็นอย่างนี้ๆ เขาก็งงเหมือนกัน”
     
“เสร็จแล้วก็จบไป แล้วก็ยังมีข่าวอีกว่าผมจะไปซื้อรถให้น้องคนนี้ในวันวาเลนไทน์ โธ่ (เสียงหนักใจ)ตอนนี้ผมก็มีปัญหารอบด้านแล้วทั้ง ไอซ์มอนสเตอร์ เรื่องการทำงาน เรื่องป่วยเรื่องสุขภาพ ผมคงไม่มีเวลาหรือเอาเงินไปซื้อรถให้คนอื่น เก็บเงินไว้รักษาตัวผมเองไม่ดีกว่าเหรอ แล้วยิ่งปีนี้เป็นปีชงผมด้วยไปทำบุญมาเหมือนกัน ก็สบายใจขึ้นแต่ว่ามันก็มีเรื่องเข้ามาผมก็แปลกดีเหมือนกัน”

แฉสาเหตุ "บอล-ฟ้า" รักล่มเพราะติดเพื่อน

สืบเนื่องจากกรณีที่มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า ''เจ้าบอล'' ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสซูเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทย กับภรรยา ''น้องฟ้า'' นาตาลี เกลโบว่า มิสยูนิเวิร์ส 2005 เตียงหักแยกทางกันแล้และเตรียมหย่าขาดจากกันเร็ววันนี้ ซึ่งคนใกล้ชิดของทั้งคู่ รวมทั้ง นายชนะชัย ศรีชาพันธุ์ พ่อของ ''เจ้าบอล'' ได้ออกมายืนยันว่า ความรักของลูกชาย และภรรยาดีกรีนางงามจักรวาลได้พังครืนลงแล้วเป็นความจริงโดยที่ทั้งคู่ยังไม่ออกมาเปิดใจแต่อย่างใด ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความเคลื่อนไหวเรื่องนี้เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 54 ผู้สื่อข่าวได้รับการยืนยันจากทีมงานของรายการตีสิบ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ก.พ. 54 เวลา 19.00 น. เจ้าบอลและนาตาลีจะควงคู่กันมาเปิดใจถึงสาเหตุที่ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องพังทลาย หลังใช้ชีวิตครอบครัวหลังวิวาห์อลังการมาได้เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นกับสื่อมวลชน ที่ห้องพระราม 2 ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 2  พร้อมกับบันทึกเทปเพื่อนำไปออกรายการตีสิบในวันอังคารที่ 1 มี.ค. 54 เวลา 22.30 น. ทางช่อง 3  ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามทีมงานรายการว่า การมาเปิดใจครั้งนี้ ทางรายการได้มีการว่าจ้างบอลและนาตาลี มาบันทึกเทปเพื่อนำไปออกอากาศทางช่อง 3 เป็นพิเศษหรือไม่

ได้รับการเปิดเผยจากทีมงานว่า การมาเปิดใจที่รายการตีสิบวันจันทร์ที่ 28 ก.พ. ที่จะถึงนี้ทางผู้จัดการส่วนตัวของทั้งคู่ได้แสดงเจตจำนงขอเปิดใจกับสื่อผ่านทางรายการ ตีสิบมาเอง
โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการจ่ายค่าตัวว่าจ้างทั้งคู่มาเป็นพิเศษแต่อย่างใด

ทีมงานคนดังกล่าวเปิดเผยต่อว่าในการบันทึกเทปบอลกับนาตาลี ไม่แน่ใจว่า ''เสี่ยวีที'' วิทวัส สุนทรวิเนตร์ พิธีกรบอสใหญ่ และพิธีกรดำเนินรายการ ซึ่งเวลานี้ได้เดินทางไปดูสถานที่ศึกษาต่อให้ลูกสาวที่ประเทศออสเตรเลียจะเดินทางกลับมาทำหน้าที่ทันหรือไม่ หากเสี่ยวีทีกลับมาไม่ทัน ทางรายการได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว โดยให้ ''เข็ม'' กฤตธีรา อินพรวิจิตร พิธีกรสาวทำหน้าที่ดำเนินรายการแทน วันเดียวกันผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อเจ้าบอลและนาตาลี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยคนใกล้ชิดของทั้งสองฝ่าย บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ทั้งคู่ไม่พร้อมให้สัมภาษณ์กับใครในตอนนี้ และขอเปิดใจกับสื่อมวลชนในรายการตีสิบครั้งแรก และครั้งเดียวเท่านั้นเพราะต้องการพูดทีเดียวเพื่อให้เรื่องทั้งหมดออกมาในทิศทางเดียวกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พอจะทราบสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ทั้งคู่ถึงเลิกกัน คนใกล้ชิดบอกว่านอกจากเรื่องงานที่รัดตัวทั้งเจ้าบอลกับนาตาลีแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการที่ทั้งคู่ เป็นคนติดเพื่อนมากต่างฝ่ายชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนมากกว่าไปไหนมาไหนสองคนแบบสามีภรรยา

 ''คือฝ่ายบอลเค้าก็มีเพื่อนกลุ่มของเขา เวลาไปไหนมาไหนก็ไปกับเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นตอนมีปาร์ตี้งานเลี้ยงสังสรรค์ ส่วนนาตาลีเวลาไปเที่ยวไปออกกำลังกายไปสปาก็ไปกับกลุ่มเพื่อนต่างชาติของเขาเวลาปกติก็ทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้กันอยู่แล้ว พอมีเวลาว่างต่างคนต่างไปอีก จึงทำให้ทั้งคู่ไม่ค่อยมีเวลาสวีต และอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ จึงทำให้ทั้งคู่ห่างเหินกันเพิ่มขึ้นทุกวันแม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม''

เผยโฉมดาวดวงใหม่ " 8 ผู้เข้าแข่งขัน" The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี7


หลังจากที่ผ่านการเฟ้นหาผู้เข้าสมัครจากทั่วประเทศหลายพันคนในที่สุดเวที"เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี7" ก็ได้ 8 ผู้เข้ารอบสุดท้ายของเวทีในปีนี้ เพื่อมาแข่งขันหาสุดยอดขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศ  โดยในวันเสาร์ที่ 5 มีนาคม นี้ จะเป็นสัปดาห์แรกของการเปิดตัวเหล่าเดอะสตาร์ทั้ง 8 คนบนเวทีคอนเสริต์
 
รักใครเชียร์ใคร เตรียมโหวตและให้กำลังใจกันได้ตามหมายเลขผู้เข้าประกวดดังต่อไปนี้

หมายเลข 1 ยุทธนา เบื้องกลาง (ตูมตาม)
หมายเลข 2 กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์ (จูเนียร์)
หมายเลข 3 กรวรรณ สุทธิวงษ์ (กวาง)
หมายเลข 4 ภาวิดา มอริจจิ (ซิลวี่)
หมายเลข 5 สิริพงศ์ ชูศักดิ์สกุลวิบูล (แอมป์)
หมายเลข 6 นท พนายางกูร (นท)
หมายเลข 7 อิษฏ์อาณิก อินทรสูต (แอปเปิ้ล)
หมายเลข 8 ยุทธนา กานิล (เนส)

ทาง Maya Inside จะเกาะติดความคืบหน้าของการ
ประกวดในครั้งนี้
มารายงานให้ทราบต่อไป หรือติดตามผ่านทางเวปหลักขอ
ง The Star 7
ที่
http://thestar.gmember.com/

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไม่จบ "โม" เหน็บ "ขวัญ" ใครกันโกหก!

ยังไม่จบสำหรับกรณี เกาเหลา ของสาว "โม อมีนา พินิจ" กับสาว "ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์" หลังจากข่าวเม้าท์ว่าทั้งคู่เคืองกันเรื่องผู้ชาย จนกลายเป็นเหตุให้ในกองละคร "เพลิงพรหม" ที่ทั้งสองร่วมงานกันนั้น ก็มองหน้ากันไม่ติด งานนี้สาวโมออกตัวแรง เพิ่มดีกรีว่าเธอไม่เคยโกหก ส่วนข่าวทั้งหมดมายังไงเธอไม่อยากพูดและต้องการให้จบเสียที

"กับ ตัวน้องขวัญ ไม่เคยคุยกันเลยค่ะ เรื่องมีปัญหาผิดคิวกันก็ไม่ได้คุย คุยสุดท้ายที่เล่นด้วยกัน คือ ไม่รู้จะพูดยังไงข่าวที่บอกว่าโมไปโพสต์ว่าเขา ในอินเทอร์เน็ต มันก็ไม่ใช่ เพราะโมไม่เคยเล่นอินเทอร์เน็ต ไม่มีเอ็มเอสเอ็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ไม่มี ก็ไม่รู้จะหาเหมือนกันว่าใครเอาชื่อเราไปใช้ โมโลว์เทคมากไม่เคยทำแบบนี้ ตอนนี้บรรยากาศในกองก็ต่างคนต่างอยู่ค่ะ เพราะปกติโมก็ไม่เคยคุยกับน้องอยู่แล้ว แล้วจะให้เข้าไปแบบ เฮ้ย ! ข่าวมันไม่ใช่นะโมก็ทำใจลำบากอยากจะบอกแค่ข้อความทั้งหมดที่ออกมาไม่ใช่ข้อ ความของโม   ทุกวันนี้เจอน้องก็ทักกัน ปกติ แค่ทักทาย แล้วต่างคนต่างอยู่ โมไม่ได้มาเกาะน้องดัง"

"โมอยู่ของโมเฉยๆ แล้วก็มีข่าวว่าโมเกาเหลากับขวัญ แรกๆ ก็เรื่องเพื่อนผู้ชาย แล้วตอนนี้ก็เรื่องงานอีกแล้วทุกครั้งที่มาสัม ภาษณ์ จะมีคำถามแบบ นี่ขวัญบอกมาแบบนี้ โมก็ไม่เคยตอบ โมไม่รู้อะไรใช่ไม่ใช่ โมปฏิเสธมาตลอด โมกับแมนที่เป็นข่าวก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน เราร่วมงานกันก็ไม่ได้อะไรแค่เป็นเพื่อน แล้วล่าสุดก็ยังเห็นขวัญบีบีไปหาพี่แมนอยู่เลย พี่แมนก็ยังบอกว่า โมไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนนะ แค่นั้น โมไม่ได้เป็นคนออกมาประกาศนะว่าไม่ถูกกับน้องขวัญ น้องเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับโม เขาก็คุยผ่านพี่แมนเหมือนกัน โม รู้ว่าโมพูดความจริง เรื่องในกองถ่ายมันอาจจะทำให้โมเสียเปรียบ เพราะโมเพิ่งเข้ามาทำงาน โมอยากสนิทกับน้องนะ ไม่คิดว่าจะมามีปัญหากันวันนี้ คือเวลาน้องพูดอะไร คนหลายคนก็คิดว่าน้องไม่ได้โกหกเพราะภาพพจน์โมแรง แต่จริงๆ แล้วไม่เลย โมไม่ได้พูดอะไรเลย" (แบบนี้จะว่าขวัญโกหกเหรอคะ) "อันนี้ก็ไม่รู้ค่ะ แต่ตัวโมไม่เคยมาโกหกแน่ๆ"

แล้วแบบนี้เวลาร่วมงานกันล่ะ ทำยังไง

"ทุก วันนี้เชื่อว่าน้องกับโมแยกออกว่าเราร่วมงานกัน เราแยกทำงานก็คือทำงาน อย่างบางเรื่องในกองฯ ก็ไม่รู้ใครให้ข่าวถึงรู้แม้กระทั่งฉากๆ ไหนที่มีปัญหา โมคิดว่ามาทำงาน ก็ต่างคนต่างอยู่กันไปพอค่ะ"

"จุ๋ย'' เผยเหตุเลิกรา "นิว" ย้ำจากกันด้วยดี

เพิ่งจะควงคู่ออกรายการ ''วันวานยังหวานอยู่'' โชว์อวดความหวานให้คนโสดได้อิจฉาตาร้อนเมื่อช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา แต่เพียงคล้อยหลังไม่นาน สาว ''จุ๋ย'' วรัทยา นิลคูหา ก็ออกมาเปิดใจถึงเรื่องสุดช็อกกับสื่อมวลชนว่าเธอได้ลดความสัมพันธ์ที่ ดำเนินมาถึง 4 ปีกับพระเอกหนุ่มคนดัง ''นิว'' วงศกร ปรมัตถากร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนอกจากการเปิดเผยถึงเรื่องนี้แล้วนางเอกสาวยังได้เปิดใจเคลียร์อย่างหมด เปลือกถึงกระแสข่าวของชนวนเหตุที่ทำให้เธอและอดีตหวานใจต้องแยกทางกันใน ครั้งนี้อีกด้วย

สาเหตุของการถอยห่างเกิดจากอะไร
จุ๋ย : มันอาจจะเป็นหลายๆ เรื่องรวมๆ กัน ด้วยความที่เราห่างเรื่องของเวลา และเราเองก็ต้องปรับตัวเข้าหากันตลอด บางทีมันก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งคุยนั่งพูดกันเลยทำให้เกิดระยะห่างขึ้น เรื่อยๆ

มีกระแสข่าวออกมาว่าสาเหตุที่ห่างกันเพราะ ''นิว'' กำลังมีสาวคนใหม่ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ มีกระแสข่าวว่าเห็นดาราหนุ่มควงสาวนอกวงการไปเที่ยวผับ
จุ๋ย : อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ต้องไปถามเขาเองค่ะ เพราะเราเองก็ไม่ได้รู้เรื่องแล้วไม่ได้ไปในที่ที่พี่นิวไป หรือไปเห็นเหตุการณ์ในวันที่บอกพอดีว่าไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด เรื่องนี้เราเองก็ไม่ทราบต้องไปถามเขากันเอาเองเพราะเราก็ไม่ได้เห็นด้วยตา ตัวเอง ก็เลยไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ

แต่ละครั้งที่นิวไปเที่ยวมีมาขอไหม
จุ๋ย : ไม่ได้ขอที่จริงมันก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนที่อยากจะไปสนุกสนานกับเพื่อนฝูงบ้าง

รู้สึกยังไงบ้างที่พอห่างกันฝ่ายชายก็ควงสาวใหม่ทันที
จุ๋ย : ก็ไม่รู้สึกอะไร มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา เราเองค่อนข้างจะมั่นใจว่าไม่ใช่ประเด็นผู้หญิงที่ทำให้เราห่างกัน เอาเป็นว่าต้องลองไปถามความจริงกับเจ้าตัวดูว่าเป็นยังไง

แล้วอย่างนี้จะมีโทร.ไปเคลียร์กันไหม
จุ๋ย : ถ้าพี่เขาอยากจะเล่าเดี๋ยวเขาก็คงจะเล่าเอง จุ๋ยก็มีความเชื่อมั่นว่ามันคงจะไม่มีอะไร คิดว่าที่เห็นคงเป็นการไปเที่ยวสังสรรค์กันระหว่างเพื่อนๆ ลองไปถามพี่เขาเองจะดีที่สุด

รู้สึกไหมว่า เป็นเพราะว่าเราห่างกันจึงทำให้ฝ่ายชายก็ออกไปเที่ยวหรือเปล่า
จุ๋ย : ก็อาจจะมีส่วนเหมือนถอยกันมาคนละก้าว กลับมาคิดทบทวน กลับมาใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก ต่างคนต่างอยู่กับตัวเอง ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ตอนนี้ต่างคนต่างก็ทำงานหนักด้วยกันทั้งคู่ พี่นิวเขาก็มีละคร 2 เรื่องส่วนตัวเราเองก็มีละครอยู่เรื่องนึงที่ต้องเร่งถ่าย แล้วยังมีงานพิธีกร ไหนจะงานที่ร้านอาหาร

พอห่างกันแบบนี้แล้วจะกระเทือนต่อธุรกิจร้านอาหารที่เปิดร่วมกันไหม
จุ๋ย : ถ้าในเรื่องของธุรกิจต้องยืนยันจริงๆ ว่าในข่าวระบุว่าต้นเหตุมาจากเรื่องที่ร้านอันนี้ต้องขอยืนยันจริงๆ ว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ เรื่องธุรกิจเราไม่มีปัญหาอะไรกันเลยด้วยความ ที่เราเองก็เป็นคนแฟร์ๆด้วยกัน ทั้งคู่ รวมถึงเราเองก็มีหุ้นส่วนอีก มันอีกหลายๆ อย่างที่เราทำร่วมกัน แล้วเขาก็เป็นคนสปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงเงิน เรื่องของการใช้แรงงาน พี่นิวเขาก็ไม่เคยจะมาโกงจะมาอะไรอยู่แล้ว ตรงนี้ยืนยันได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องร้านอะไรอยู่แล้วค่ะ ธุรกิจก็ยังคงดำเนินต่อไป พี่นิวก็ยังคงเป็นหุ้นส่วนอยู่ค่ะ

จะมีโอกาสกลับมาเหมือนเดิมไหม
จุ๋ย : ณ ตอนนี้ขออยู่กับตัวเอง ขอทำงานที่ตัวเองรักก่อน ขอใช้เวลาอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก ทุกๆ อย่างเราคุยกันด้วยความรู้สึกดีๆ นะคะ คุยด้วยเรื่องของความเข้าใจในฐานะที่เราเองก็ โตๆ กันแล้ว เราเข้าใจในเหตุผลของการดำเนินชีวิต เราใช้ความรักคุยกัน ความสัมพันธ์ความรู้สึกดีๆ ความรักดีๆ ในอดีตมันก็ยังมีอยู่ เราคุยกันดีๆ ค่ะ

เหงาบ้างไหมต้องอยู่คนเดียวแล้ว
จุ๋ย : ก็มีบ้าง แต่เราก็มีแทนไปในเรื่องของงาน หรือว่าพบปะเจอกับเพื่อนๆ พี่ๆ หรือแม้จะเป็นครอบครัวจุ๋ยว่าตรงนี้ช่วยเราได้ค่ะ

โสดแล้วมีใครเข้ามาจีบบ้างหรือเปล่า
จุ๋ย : ไม่มีค่ะ ด้วยความที่ข่าวเองก็เพิ่งออกไป เราเองก็ไม่ได้จะพูดอะไรเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็อยู่แต่ที่กองละคร ทำงานอย่างเดียว มันยังเป็นระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งคงไม่สามารถเอาใครเข้ามาได้ในระยะเวลาที่กระชั้นชิดขนาดนั้น แล้วเราก็ไม่ได้เปิดโอกาสเพราะรู้สึกว่าเราอยู่อย่างนี้มันยังมีความสุขอยู่ ส่วนพี่นิวมาง้อบ้างไหมคือมันไม่ใช่ประเด็นตรงนั้น เหมือนเราให้เวลาในการทำความเข้าใจและเคารพสิทธิ์ของกันและกันค่ะ

ณ ตอนนี้ เชื่อไหมว่าเขาเองคงจะยังไม่มีใคร
จุ๋ย : อันนี้ไม่รู้จริงๆ คงต้องไปถามพี่เขา แต่จุ๋ยคิดว่าคงไม่น่าจะมี จุ๋ยไม่รู้จริงๆ ฉะนั้นเลยไม่สามารถพูดอะไรได้

"ชมพู่" ปัด "น็อต" ไม่ปลื้มเลิฟซีน "เคน" ถี่

มีข่าวคราวความเจ้าชู้ของแฟนหนุ่ม ''น็อต'' วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์ ออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่นางเอกสาวแห่งวิกพระราม 4 ''ชมพู่'' อารยา เอ ฮาร์เก็ต ก็ยังไว้เนื้อเชื่อใจแฟนหนุ่มไม่มีเปลี่ยน ล่าสุดฝ่ายชายมีข่าวควงสาวไปเที่ยวผับ สาวชมพู่ก็รีบออกมาปกป้องทันที ว่าเป็นแค่เพื่อน ซึ่งสาว...ชมพู่ เปิดใจเรื่องดังกล่าว ระหว่างที่มาร่วมงานเปิดร้าน ''second floor'' ที่ พาร์ค เลน เอกมัย ว่า เรื่องนี้ตนได้คุยกับน็อตแล้ว ผู้หญิงที่ไปเที่ยวเป็นแค่เพื่อนๆ ของฝ่ายชายที่ตนเองก็รู้จัก

''ก็ได้คุยกับเขาเรื่องข่าวแล้ว พอดีเมื่อวานเขาไปพารากอนเจอกันก็เลยถาม จิรงๆ ไม่เชิงถามก็เล่าให้ฟังว่ามีข่าวเค้าก็บอกว่า เฮ้ย อะไร ก็มีอธิบายนะ แต่ชมไม่ได้ซีเรียส เขาเล่าให้ฟังเฉยๆ มากกว่า ต่างคนต่างรู้จัก และเข้าใจกันอยู่แล้ว จริงๆ ปกติ ที่นั่นเขาก็ไม่ได้เที่ยวบ่อย วันนั้นชมทราบว่าเขาไป เพราะว่าเจ้าของงานเป็นเพื่อนสนิทกันหมด แต่ชมไม่ได้ไป เพราะว่าชมตื่นเช้า มีงานดึกไง เขาไปกับเพื่อนผู้หญิงผู้ชายปกติค่ะ ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น เขาก็เอ่ยชื่อมาว่ามีคนนั้นคนนี้ เราก็รู้จัก แต่ไม่ได้ติดใจอะไรอยู่แล้ว คือจะไปไหนก็ได้ หญิงชายก็ได้''

ต่อข้อถามว่า ดูเชื่อมั่น และไว้ใจแฟนหนุ่มมากๆ เลยทีเดียว นางเอกสาวบอกว่า ''ก็เชื่อใจ ถ้ามานั่งแบบ เธอไปไหนกับใครมา ชมว่ามันก็คงไม่รอดหรอกค่ะ''

ถามต่อว่า เห็นรายชื่อในแฟกซ์แขกรับเชิญของงานนี้ จะต้องมีน็อตมาร่วมงานด้วย แต่ทำไมน็อตถึงไม่มา กลัวเจอสื่อซักเรื่องข่าวหรือเปล่า เรื่องนี้ชมพู่บอกว่า ''อ๋อ ไม่มาค่ะ ไม่ได้มาอยู่แล้ว คงมีการเข้าใจเรื่องผิด จริงๆ กับเจ้าของงานก็สนิทกัน เขาก็ไม่กล้าชวนคุณน็อตเพราะเขาเกรงใจ เคลียร์กันตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้มา ไม่ได้กลัวเจอสื่อหรอก จริงๆ ชมว่า สำหรับเขาไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาพูดอะไรแบบนี้บ่อยๆ เขาไม่ใช่ดารา''

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงฉากเลิฟซีนกับพระเอก ''เคน'' ธีรเดช วงศ์พัวพัน ในละคร ''รหัสทรชน'' ค่อนข้างจะมีฉากจุบจริงเยอะทีเดียว เอะอะจูบ เอะอะจูบ ตรงนี้น็อตว่าอย่างไรบ้าง ได้ดูไหม เรื่องนี้ชมพู่กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า

''เขาก็แบบว่า มันก็ไม่ใช่ภาพที่น่าดู แต่ก็เข้าใจ (หัวเราะ) เขาบอกว่ามันคงไม่มีใครชอบดูหรอก แต่ว่าเขาก็เข้าใจค่ะ ถามว่าห้ามไหม ก็ไม่ได้ห้ามนะ จริงๆ แล้วชมว่าเขาชอบนะที่ชมเล่นกับพี่เคน อย่างปิดกล้องแล้วก็ถามว่าเมื่อไหร่จะมีละครกับพี่เคนอีก เขาคงชอบดูให้เล่นด้วยกันแบบนั้นมากกว่า เรื่องฉากเลิฟซีนชมว่ามันเป็นอารมณ์ของเรื่องค่ะ คือเรื่องมันก็ค่อนข้างจะดุเดือด มันเป็นความตั้งใจของเรื่องที่แบบเวลาบู๊ก็ดุเดือด เวลากุ๊กกิ๊กก็คือเอาให้มันสุดๆ ไปเลยแบบนั้นมากกว่า เดี๋ยวรอดูละคร ดอกส้มสีทองสิ อันนั้นคือแรงเลย''

แล้วถ้าน็อตดูดอกส้มสีทอง แล้วเขาจะโอเคไหม?

''อันนั้นเป็นเรื่องของอนาคตค่ะ'' ชมพู่กล่าวอย่างอารมณ์ดีทิ้งท้าย

"หวาย" มุ่งพัฒนาผลงาน อยากให้มองที่งานมากกว่าข่าวฉาว

เป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเจอ ข่าวคาวเรื่องภาพหลุดกับเพื่อนชายคนสนิทอยู่ต่อ เนื่อง แต่สาว หวาย-กา มิกาเซ่ ก็ฝากบอกทีมข่าวมาว่าไม่ท้อแท้ใจ เพราะมีกำลังใจดีๆจากครอบครัวและแฟนคลับ และนอกจากนั้น สาวหวายยังขอมุ่งมั่นกับงานเพลงต่อไป โดยล่าสุดแบ่งเวลาไปเรียนร้องเพลงให้มีพัฒนาการในการร้องมากยิ่งขึ้น เพื่อไว้ร้องบนเวทีโชว์ และหวังให้แฟนเพลงโฟกัสที่ความสามารถมากว่าข่าวฉาว

"ช่วงนี้ก็งานค่อนข้างเยอะ มีงานโชว์ตัว และงานโปรโมทอัลบั้มเพลง Waii Play Girl (หวาย เพลย์เกิร์ล) ที่เพิ่งวางแผงไป จากนี้หวายยังใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งไปเรียนร้อง เพลงเพิ่มเติม กับครูสอนร้องเพลงที่อาร์เอสฯ เพื่อพัฒนาการร้องให้ดีมากขึ้น เพราะหวายจะมีงานโชว์ตัวในที่ต่างๆ เยอะมาก ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด"

"และหวายว่าส่วนตัวแล้วหวายยังร้องเพลงไม่ค่อย ดีเท่าไหร่ ก็อยากร้องเพลงให้ดีมากขึ้เพราะ หวายอยากเป็นอย่างคุณตา (ชรินทร์ นันทนาคร) ท่านเป็นนักร้องคุณภาพ ที่ทุกคนยอมรับ เป็นนักร้องอมตะ หวายไม่ได้คิดจะเทียบเท่าท่าน แต่อยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยส่วนตัวหวายต้องแก้ไขและพัฒนาการร้อง ให้มากกว่านี้ เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ด้านการร้อง ไม่ว่าจะเป็นการอิมโพไวส์เสียง เสียงหลบ การร้องเต็มเสียง ฯลฯ เพื่อจะได้ร้องเพลงดีขึ้นค่ะ"

"จอย" รับเครียดกับบทร้าย ถึงขนาดปล่อยโฮ

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงมืออาชีพฝีมือคุณภาพ แต่พอพลิกมาเล่นบท ดราม่าร้ายลึกในละครเชือดเฉือนอารมณ์ "ตลาดอารมณ์" ของค่ายเอ็กแซ็กท์ ทำเอา "จอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค" จับทางการแสดงไม่ถูก เล่นไม่ได้ไปไม่เป็น ถึงขั้นเครียดร้องห่มร้องไห้ไปหลายวันกว่าจะเข้าทาง อีกอย่างที่ทำให้จอยรู้สึกกดดนก็มาจากคนดูนี่แหละ ส่วนเรื่องความรักตอนนี้บอกได้ว่าไม่โสดแล้วจ้า...

"คือ บทนี้มันไม่ใช่ทางของเรา เหมือนเราต้องมาเริ่มใหม่เราจะเล่นยังไง ต้องทำการบ้านหนักขึ้นเพราะประสบการณ์กับบทแบบ นี้มันน้อย จอยก็เลยเครียดในช่วงแรกๆร้องไห้ทุกวัน จะทำยังไงดีเพราะเล่นไม่ได้เลยไปไม่ได้ ตอนแรกไม่เข้าใจก็งงๆ ผู้กำกับฯคือ "พี่ป้อน" นิพนธ์ ผิวเณร ก็ให้กำลังใจบอกให้จอยใจเย็นๆ และคอยดูว่าจอยเล่นมากไปน้อยไป ประมาณนี้โอเค.หรือไม่โอเค. ซึ่งพี่ป้อนใจเย็นมาก เพราะเขาไม่อยากให้จอยเครียด แต่จอยเครียดไปเอง สองสามคิวก็ยังเล่นไม่ได้เราไม่รู้ว่าต้องเล่นแค่ไหนถึงจะพอดีที่จะเป็นคา แรกเตอร์ตัวนี้ เพราะมันไม่ใช่แบบว่าจะหลับหูหลับตาสร้างขึ้นมาได้

คือ พี่ป้อนบอกอะไรมาจอยเข้าใจหมดแต่ไม่สามารถสร้าง อินเนอร์และถ่ายทอดมันออกไป ได้ เพราะเราก็ห่วงจะเล่นร้ายยังไง จะพูดจายังไง เดินเหินยังไง จนตอนหลังพอบทมาและได้เข้าฉากกับแม่ได้เจอกับ ป๊อก ปิยธิดา เริ่มจับทางได้ตอนนี้เริ่มสนุกแล้ว เพราะเรารู้จักแล้วว่าตัวของ ชโลธร เป็นคนอย่างนี้ ตอนนี้การแสดงก็เลยลื่นไหลก็ใส่ได้เต็มที่ ละครเรื่องนี้เห็นว่ามีคนรอดูจอยก็ดีใจเพราะคิด ว่ามันน่าสนุกก็สมกับชื่อ "ตลาดอารมณ์" แล้วนักแสดงแต่ละคนก็ไม่ธรรมดา แต่มันก็คือความกดดันเหมือนกัน ทำไมต้องเอาความกดดันมาใส่กันด้วย ก็ขอบคุณที่เขาเชื่อในฝืมือของเราแต่ยิ่งเชื่อเราก็ยิ่งเครียด

ความ รักตอนนี้ก็โอเค.ก็ดีก็มีเป็นเรื่องธรรมดา ก็มีคนนั้นคนนี้โทร.มาคุยเราก็คุยกับเขาดี ก็มีคนเข้ามาบ้างไม่ใช่ไม่มีเลย เพราะเขาก็เห็นจากข่าวใช่มั้ย แต่ถ้าจะให้ระบุแคบลงไปอีกก็คือมีคนให้กำลังใจมีคนเป็นห่วง แต่ก็คุยได้แค่นี้แหละเพราะมันมีแค่นี้เองยังไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเราเชื่อเรื่องบุญกรรม เรื่องบุพเพสันนิวาสด้วย"

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“เก๋” ฉะ “อั้ม” หึงเว่อร์ยันไม่เคยลูบ “โน้ต” เหน็บบางทีดาราที่ชอบพูดตรงก็เสแสร้ง

หลังจากที่ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” นางเอกซูเปอร์สตาร์คนดังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มีไฮโซอักษร “ก” มาลูบไล้หลัง “โน้ต วิเศษ รังสีสิงห์พิพัฒน์” แฟน หนุ่มชนิดที่ใครเห็นก็ต้องร้องโอ้....แต่ตนเองไม่อยากจะพูดมากเพราะกลัวว่า ไฮโซ ก.จะอาย แถมยังแฉอีกว...่า ไฮโซ ก. ที่ว่านั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ไฮโซ แต่เป็นดาราที่ผันตัวไปเป็นเซเลบริตี้เท่านั้น

ซึ่งไฮโซหรือเซเลบริตี้ที่อั้มกล่าวถึงนั้นน่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “เก๋ รุ่งนภา พงศ์ทิพย์สุคนธ์” หรือ "ณัฏฐ์ธนิน คุณาธนาฒย์" อดีตนักแสดงสาวที่ปัจจุบันมักจะเห็นข่าวคราวของ เก๋ปรากฏตามหน้าข่าวสังคม เนื่องจากเจ้าตัวทำงานด้านประชาสัมพันธ์ พอสอบถามไปถึงเรื่องดังกล่าว เจ้าตัวก็สาธยายแบบหมดเปลือกชนิดหนังคนละม้วนกับอั้ม พัชราภา เมื่อวานฟังความจริงจากฟังอั้มไปแล้ว วันนี้มาฟังความจริงจากปากเก๋กันบ้าง

“เก๋อ่านข่าวแล้วค่ะรู้สึกขำติ๊งต๊องมันละครชัดๆ ก็คือช่างมันเถอะเรื่องมันไม่มีอะไรเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด วันนั้นเก๋ไปเที่ยวก็นัดกับเพื่อนๆ แต่เพื่อนกลุ่มนั้นยังไปไม่ถึง เก๋ก็เดินเข้าไปในร้านแล้วเก๋ก็เจอเพื่อนเก๋สองคนนั่งอยู่แฟน และก็เจอโน้ตกับพี่อั้มนั่งอยู่กับเพื่อนเก๋ด้วย เก๋ก็หันไปยิ้มให้เขาก็ไม่รู้เขาเห็นหรือเปล่าเพราะมันมืด”

“แล้วพอเพื่อนเก๋นั่งอยู่เก๋ก็ทักสิ เพื่อนเก๋ก็อยู่กันทั้ง โต๊ะทุกคนในนั้นเห็นเหตุการณ์หมดว่า เก๋ไม่ได้ลูบหลังเหมือนที่เขาทำท่าออกทีวี จะบ้าเหรอเก๋แค่เดินเข้าไปแล้วก็แตะหลังเฮ้ย...หวัดดี แค่เฮ้ยหวัดดีนะ และเก๋ก็คุยกับเพื่อน แต่เขาคงแบบทะเลาะกันมาก่อนเพราะเพื่อนเก๋บอกเขาทะเลาะกันมาก่อน ซึ่งอั้มเขาก็คงหึงและเข้าใจผิด เก๋ก็เข้าใจผู้หญิงแหละคนมันรักมันหวงก็คงเข้าใจผิด”

“เขาก็เดินมาถามเก๋ ว่า รู้จักกันหรอ เก๋ก็พูดตรงๆ ว่า เก๋รู้จักเพราะโน้ตเขาเคยเป็นแฟนเก่าของเพื่อนเก๋ เก๋ยืนยันว่าทักทายธรรมดาไม่ได้ไปลูบไล้หรืออะไร เลย งงเขามากอยู่ดีๆ ก็พูดจาไม่ดีใส่ แล้วเขาก็บอกว่า แต่โน้ตบอกว่าไม่รู้จัก เก๋ก็หันไปถามโน้ตว่า เฮ้ย..มึงไม่รู้จักกูหรอ ก็งงว่าทำไมโน้ตไปบอกอั้มแบบนั้น โน้ตเขาก็หันมาพูดว่า อืมรู้จักแล้วก็พาอั้มออกไปนั่งที่โต๊ะ”

“แล้วเก๋ก็พูดกับอั้มที่ว่า ขอโทษนะคะเมื่อกี้พี่ได้ยินแล้วนะว่าเก๋กับโน้ต รู้จักกันจะได้ไม่ต้องมามี ปัญหากัน เขาก็พูดสวนขึ้นมาว่า รู้จักกันทำไมต้องจับหลังกันด้วย เก๋ก็อ้าว...ไม่รู้หนิว่า รู้จักกันแล้วจับหลังกันไม่ได้ คือเก๋ก็งงไงก็คนรู้จักกันทำไมจะจับหลังกันไม่ได้ป้ายก็ไม่ได้มีติดไว้ เก๋ก็ไม่รู้ว่าเขาจะหวงหรืออะไรขนาดนี้”

“เพื่อนๆ เก๋ก็ดึงแขนบอกให้เก๋ๆ เบาและก็ดึงแขนออกมาคุยกันนอกร้าน เพื่อนๆ ก็บอกว่า เขาเองก็ไม่เคยเห็นพี่อั้มเป็นขนาดนี้ เขาก็บอกว่าพี่อั้มไม่เคยเป็นแบบนี้นะ พี่อั้มน่ารัก เขาก็พูดปกป้องพี่อั้ม ซึ่งเก๋ก็เชื่อแหละ เพราะเพื่อนบอกว่า เขาทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้เหมือนของยังขึ้นอยู่ เก๋ก็คิดอ้าว...ทำไมไม่ไปทะเลาะกันที่บ้านมาเที่ยวกันทำไม”

“และเพื่อนก็ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ก่อนที่อั้มจะเดินมา อั้มได้ถามโน้ตว่า รู้จักเก๋ไหม โน้ตก็บอกว่ารู้จัก แล้วอั้มก็ถามว่า รู้จักที่ไหน โน้ตก็บอกว่า เออ...ไม่รู้จักก็ได้ เก๋ก็เลยเข้าใจเลยว่า ทำไมอั้มเขาถึงหึงขนาดนี้ โอ๊ย(ถอนหายใจ) แล้วทำไมต้องไปพูดว่าไม่รู้จักก็ได้ มันเหมือนมีลับลมคมในเขาคงหึงขึ้นมา แต่ผู้ชายก็กลัวผู้หญิงเกินคือมันไม่มีอะไรก็ไปทำให้มันมีอะไร”

“มันไร้สาระมาก วันนั้นแฟนเก๋ก็ไป เพื่อนๆ ก็รู้ว่าเก๋มีแฟน แล้วเก๋เป็นคนที่แบบ ถ้าเก๋รักใครก็เปิดเผยเก๋ไม่ชอบแย่งของใคร คิดไปได้นะคนเรา เก๋ก็คุยกับเพื่อนเก๋ธรรมดาคือถ้าคนมันมีอะไร มันคง ไม่ยืนแบบหน้าด้านคุยอะไรอย่างนั้น แล้วจากข่าวต่างๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าอั้มเขาเป็นคนแรงขนาดไหน เราก็คงไม่ใจกล้าหน้าด้านขนาดนั้นหรอก”

“เพื่อนเก๋ทุกคนในกลุ่มนั้นเห็นหมด เพื่อนที่เป็นดาราก็อยู่ในนั้น ผู้จัดการดาราที่นั่งอยู่ในกลุ่มนั้นก็ยังส่ง บีบีมาขอโทษเก๋เลย ขอโทษนะเก๋ขอโทษแทนเขาด้วย ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นอั้มเป็นขนาดนี้ ทุกคนช่วยกันปกป้องพี่อั้มหมด เก๋ก็คิดว่าพี่อั้มเขาก็คงเป็นคนดีระดับหนึ่งถึงทำให้ทุกคนยอมขอโทษแทน”

“เก๋ก็ไม่ได้อะไร มันขำน่ะ คน รักคนหวงก็เข้าใจเขา แต่ก็คิดได้ไงจับหลังก็ไม่ได้เว่อร์เกิน ในมุมมองเก๋ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เดินมาถามดีๆ จะดูดีกว่า(คือน้ำเสียงเขาไม่ค่อยสุภาพ) โอ้โห...ใช่ จริงๆ เขาทำแบบนี้มันก็ไม่ดีสำหรับตัวเขา ตัวเก๋เองถ้ามีคนมาเขียนว่าอะไรมันก็ไม่ได้เสียหายเท่าตัวเขา เพราะเก๋ก็ไม่ได้เป็นดาราแล้ว แต่ตัวเขาเป็นดาราทำแบบนี้มันมีผลกระทบ”

เผยจริงๆ เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่ผ่านมาเป็นเดือนเหมือนที่ “อั้ม” ให้สัมภาษณ์
“สิ่งหนึ่งที่เก๋ไม่เข้าใจคือ เรื่องนี้มันจบไปแล้วและเป็นเรื่องที่เล็กมากๆ แล้วทำไมไปให้สัมภาษณ์ให้ข่าวมันกลับมาใหญ่อีกรอบ เรื่องนี้มันเพิ่งเกิดไปไม่นานน่าจะประมาณอาทิตย์ หรือสองอาทิตย์ที่แล้วนี่ เอง(แล้วทำไมอั้มบอกเกิดเป็นเดือนแล้ว) ก็ใช่ไงนั่นคือสิ่งที่เก๋ไม่เข้าใจ เก๋อธิบายไม่ถูก คือก่อนหน้านี้เก๋ก็ว่าเขาเป็นดาราที่แบบพูดตรง ดีไม่เสแสร้ง แต่ตอนนี้ก็ทำให้เก๋เปลี่ยนมุมมองไป บางทีคนเราที่ดูแรงๆ พูดตรงๆ บางทีก็เสแสร้ง มันคือการสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวเองในวงการ”

“เรื่องมันไม่มีอะไรเลย ทุกวันนี้ก็ยังงงว่า อะไรวะฉันสวยขนาดที่ให้อั้มต้องหึงเลยหรอ เพื่อนก็บอกว่า สงสัยมึงคงสวยมากอั้มก็เลยหึง เขาเองก็สวยอยู่แล้วเขาก็มีจุดเด่นของเขาอยู่แล้ว ถ้าเขานิ่งกว่านี้น่าจะดีสำหรับตัวเขาเอง”

ยืนยันว่า “อั้ม” เป็นฝ่ายมาฉุดแขน ในขณะที่อั้มให้สัมภาษณ์ปฏิเสธ
“เขามาดึงแขนให้หันไปคุยกับเขา ซึ่งเราก็งงๆ ว่าคืออะไร แล้วไอ้ที่เขาบอกว่าทุกคนร้องโอ้... ก็คงจะร้องเพราะเขามาฉุดแขนเก๋นี่แหละ ทุก คนงงก็ขำๆ กัน ก็ยังมาคุยกับเพื่อนหน้าร้านเลย เพราะเพื่อนบอกให้ใจเย็น เราก็บอกเฮ้ย...เอามือออกเดี๋ยวถ้าแกเป็นแฟนอั้มเอามือมาจับไหล่ฉัน เดี๋ยวฉันโดนปาดคอตายแน่ ก็ยังแซวกันขำๆ”

ยอมรับไม่ใช่ไฮโซเหมือนที่ “อั้ม” พูด แต่ก็ไม่เคยขายตัวหรือเป็นเมียน้อยใคร

“เก๋ก็พูดตรงๆ ว่า เก๋ไม่ใช่ไฮโซ เก๋เป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ที่เห็นตามหน้าสังคมเพราะมันด้วยงานของเก๋ ที่ต้องเป็นแบบนั้น เก๋เป็นพีอาร์ก็ต้องทำงานตามหน้าสังคม เก๋ไม่ใช่ไฮโซเขาก็พูดถูก แต่ที่เก๋งงก็คือสิ่งที่เขาพูดว่า เก๋จะอาย เก๋จะต้องอายตรงไหนหรอ อาชีพที่เก๋ทำก็เป็นอาชีพสุจริต เก๋ไม่จำเป็นต้องอาย เก๋ไม่ได้ขายตัว เก๋ไม่เคยเป็นเมียน้อยใคร เก๋ไม่เคยไปทำอะไรมาก่อนทำให้เก๋ต้องอาย คือไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน จะเก็บขยะหรืออะไรก็ตามทุกอาชีพถ้าเก๋จะทำก็เป็นอะไรที่เราภูมิใจ ทุกวันนี้เก๋ก็ภูมิใจเพราะเป็นอาชีพสุจริต

“ก็ยืนยันค่ะว่าไม่ได้ไปลูบไล้โน้ต คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นทุกคน ไม่รู้สิเก๋ว่าเขาคงอยู่ในอารมณ์หึงแล้วจินตนาการไปเองหรือเปล่าว่า เก๋ไปลูบไล้ของ อีกอย่างโน้ตก็เป็นแฟนเก่าเพื่อนเก๋ เราคงไม่เอาแฟนเก่าเพื่อนมาเป็นแฟนหรอก”

“อั้ม” หึงแหลกเหน็บไฮโซลูบหลัง “โน้ต” บอกไม่อยากพูดกลัวคู่กรณีอาย

“อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ออกมาเคลียร์ข่าวหลายตลบกรณีที่ “โน้ต วิเศษ รังสีสิงห์พิพัฒน์” แฟน หนุ่มเดี๋ยวก็มีข่าวไปกิ๊กกับดาราคนโน้นคนนี้ จนได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ขี้หึงคนหนึ่งของวงการบันเทิง ล่าสุดก็มีข่าวว่าอั้มไปมีเรื่องมีราวหึงหวงกับไฮโซอักษรย่อ “ก” ห...ลังไฮโซคนดังกล่าวเดินมาตบไหล่ทักทายแฟนหนุ่มของอั้ม ว่ากันว่าทำเอาอั้มปรี๊ดแตกถึงขั้นเดินเข้าไปกระชากแขนพร้อมถามด้วยน้ำเสียง ที่ไม่พอใจว่า “รู้จักโน้ตด้วยเหรอ” เจอข่าวแบบนี้บ่อยๆ อั้มถึงกับบ่นปวดหัวเลยทีเดียว

“จริงๆ ปวดหัวนะคะ อั้มไม่เคยมีเรื่องกับไฮโซค่ะ แต่เขาเป็นกึ่งๆ ดาราหรือเปล่า ไม่อยากพูดไปค่ะ เดี๋ยวเขาจะอายเปล่าๆ เรื่องไปกระชากแขนเขาไม่มีค่ะ ไม่มีการลงไม้ลงมืออะไรค่ะเล่าไปมันก็เรื่องหยุมหยิม เขาคงเป็นเพื่อนกันแหละ แต่ทุกคนที่เห็นก็จะงงว่า โอ้...อะไร คืออั้มไม่ได้นั่งอยู่กับโน้ตหรอกนะคะ แต่อั้มเห็นแล้วอั้มเองยังตกใจ โอ้...อ้าปากค้างเลย และคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นก็ต้องอ้าปากค้างเช่นกัน”

“คือถ้าเรารู้จักกัน เราก็จะทักแบบ เออ..นี่ๆ(ทำท่าเอามือแตะมือ) แต่นี่เขาเดินมาแล้วเอามือลูบแผ่นหลังโน้ตแบบ ค่อยๆ ช้าๆ(อั้มทำท่าเอามือลูปไล้ให้ดู) เราก็ร้อง โอ้...(เสียงสูง) ลูบเหมือนเลือกซื้อของ เราก็ตกใจนะ อั้มไม่อยากพูดอะไรเดี๋ยวเขาจะอายเปล่าๆ"

"ตัวเขาไม่เห็นอั้ม อั้มเลยได้แต่นั่งร้องโอ้... อั้มไม่ได้หึงแต่ตกใจ คิดว่าเขาเดินมาเลือกสินค้าเห็นกวาดแผ่นหลังใหญ่ เลย โน้ตเองเขาก็ตกใจ เขาบอกว่าเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้ แต่ไม่อะไรมาก ไม่มีอะไร โน้ตยืนยันว่าไม่ได้สนิทอะไรกันเลย จริงๆเหตุการณ์นี้มันก็นานมากแล้ว แต่คนพึ่งเอามาเม้าท์ เป็นเรื่องฮามากกว่า เรื่องนี้มันก่อนข่าวของดารา ซ.ซะอีกนานแล้วด้วยประมาณ 1 เดือนได้ คือต้องบอกว่าผู้หญิงคนนี้เขาไม่ได้อยู่ในวงสังคมไฮโซอะไรเท่าไหร่ เขาเป็นเพียงแค่น้องนักแสดงคนนึง แต่ผันตัวไปเป็นเซเลบริตี้แล้ว”

“อั้มเองก็ไม่ได้อะไรนะก็เข้าไปทักเขา เห็นแล้วตกใจจริงๆ ตอน นี้เป็นเรื่องที่ฮาของกลุ่มอั้มมาก ส่วนเรื่องที่เขาชอบไปแทรกกลางคู่รักที่ระหองระแหงเอาเป็นว่าตรงนี้อั้มไม่ อยากจะพูดถึงเขา ไม่ใช่ว่ากลัวเขาจะมาเกาะกระแสอะไรนะคะ เขาก็คงไม่ได้อยากจะเป็นข่าวอะไรอย่างนี้หรอกค่ะ แต่อั้มเชื่อจากใจจริงเลยนะว่ามันไม่มีอะไร แต่เห็นภาพแล้วก็โอ้.... มันขำค่ะอย่าไปพูดถึงเขาเลย”

พ้อปวดหัวแก้ข่าวกิ๊กรายวันแฟนหนุ่ม ลั่นอย่าโกรธหากต่อไปนี้ตนจะไม่เปิดเผยเรื่องความรักอีก ย้ำตนไม่ใช่งูจงอางที่จะต้องคอยตามหวง ยันแฟนหนุ่มไม่เจ้าชู้เพียงแต่ทำอะไรไม่คิ

“จะบอกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ข่าวเยอะเหลือ เกิน ปวดหัว ตัวคนเดียว สู้คนเดียว มันเหนื่อยนะคะ หลังจากที่โน้ตออกมาให้สัมภาษณ์ก็ดีค่ะ เพื่อนๆ เองเขาก็ไม่อยากจะว่าอะไรกันแล้วค่ะ ทุกคนรู้ว่าอั้มไม่ได้หวงอะไร ถึงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ดาราก็ตาม ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างอั้มก็คงต้องช็อก อั้มบอกแล้วว่าต่อไปนี้เห็นอั้มปิดอย่าโกรธอั้มนะ เพราะยิ่งเปิดมันก็ยิ่งไม่ดีกับตัวอั้มเอง ทำให้มันมีข่าวตามมากับผู้ชายที่เราคุยอยู่ด้วย อย่างเมื่อก่อนอั้มไม่ได้เปิดอะไรใครมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้มีข่าวอะไร ถ้ามีปัญหามันก็จบง่ายเพราะเป็นคนนอกวงการ ต่อไปนี้ก็ไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้แล้ว อั้มไม่ได้เป็นจงอางนะคะ"

“จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่หนุ่มเจ้าสำราญอะไรขนาดนั้น แค่เขาไปไหนมาไหนแล้วเขาคิดน้อยเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเขาจะเจ้าสำราญทุกคนมีเพื่อนฝูงได้ อย่างอั้มเองอั้มก็มีเพื่อนได้แต่อั้มไม่เลือ กที่จะไปทานข้าวกับเพื่อน 2 คนหรือไปกับเขา นอกจากไปเจอกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตั้งแต่มีข่าวนี่มี คนติดต่องานคู่เข้ามาเยอะค่ะ งานถ่ายแบบก็มีแต่คงไม่รับค่ะ โน้ตไม่ถนัดเท่าไหร่ ที่ไม่รับไม่ได้กลัวอาถรรพ์อะไรเลยค่ะ มันคงไม่มีอะไรน่ากลัวกว่านี้แล้ว”

ยกเพื่อนซี้ “เมย์ เฟื่องอารมณ์” เป็นไอดอลในใจหลังเจอประสบการณ์ตามแก้ข่าวกิ๊กรายวันกับตัว

“เขาก็ดูไม่ได้ห่วงอะไรนะคะ เราโทรคุยกันทุกวันค่ะแล้วบอกเลยว่า อั้มนับถือเธอจริงๆ เธอเป็นคนที่เก่งและอดทนจริงๆ เธอเป็นไอดอลของฉัน พี่เมย์เขาก็ไม่ได้แนะนำอะไร ความสุขอยู่ที่ใจ เขาบอกว่าเขามีความสุขของเขาอย่างนี้อยู่แล้ว อย่ามีใครมายุ่ง อย่ามีใครมาทำร้ายเขาแล้วกัน เขาก็อยู่อย่างนี้ของเขาได้ ก็ถือว่าเขาเป็นไอดอลของอั้มจริงๆ ค่ะ พี่เมย์เองเล็กๆ เขาไม่นะคะถ้าจัดแล้วจัดเต็มชุดค่ะ

“ปอ ทฤษฎี” รับได้ “โบ” เคยแต่งงานมีลูกมาก่อน ยัน ไม่ได้แย่งภรรยาเพื่อน

ปกติเป็นคนไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวความรักสักเท่าไหร่ สำหรับพระเอก “ปอ ทฤษฎี สหวงษ์” แต่พอหลังจากออกมาประกาศว่า กำลังคบหาดูใจอยู่กับผู้ประกาศข่าวจากช่องทรูวิชั่นนามว่า “โบ” เท่านั้นแหละ จู่ๆ ก็มีมือดีนำภาพแต่งงานของฝ่ายหญิงที่ถ่ายคู่กับเจ้าบ่าวของออกมา...เปิดเผย ซ้ำยังแฉว่า โบนั้นทิ้งลูกทิ้งสามีเพื่อมาคบกับหนุ่มปอ หนำซ้ำหนุ่มปอยังเป็นเพื่อนกับสามีโบอีกด้วย นานๆ จะมีข่าวทีก็โดนไปชุดใหญ่ ซึ่งพอสอบถามไปยังหนุ่มปอ เจ้าตัวก็เคลียร์ข่าวลือดังกล่าวอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนว่าเป็นเรื่องจริง

ความรักตอนนี้ก็ดีครับ ก็ปกติครับ ข่าวที่ออกไปว่าโบเขาผ่านการแต่งงานมาแล้ว คิดว่าคงหลุดมาจากคนที่ไม่หวังดีที่หวังจะมา ทำลายอะไรสักอย่างรึเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ผมจะบอกทุกๆ คนว่า ถ้าผมจะคบกับผู้หญิงคนนึง ผมไม่สนว่าใครเคยเป็นอะไร แล้วผมก็เชื่อว่าการที่เราจะมีคนรักหรือจะคบกับใครสักคน เราไม่จำเป็นต้องมองในสิ่งที่มันผ่านมาแล้ว ผมจะอยู่กับปัจจุบันแล้วก็อนาคต ผมคิดว่าทุกๆ คนจะต้องมีสิ่งที่เคยทำพลาด หรือไม่ว่าจะเป็นในสิ่งที่เราไม่อยากจะไปคิดถึงมันอีกแล้ว แล้วเราเองก็พร้อมที่จะเริ่มต้นกับอะไรใหม่ๆ ได้ในทุกๆ ครั้ง

แต่ที่ผมไม่ออกมาพูดเพราะต้องการที่จะให้มันหยุด คิดดูว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสงสารนะครับกับชีวิตของผู้หญิงหนึ่งคนที่ผ่าน เรื่องอะไรที่มันแย่ๆ ไม่มีใครอยากจะ เป็นอย่างนี้หรอกครับ มันยิ่งทำให้ผมค่อนข้างที่จะเห็นใจเขามากขึ้น ผมรู้ทุกอย่าง ผมไม่ได้ไปแย่งใคร พอมีข่าวออกมา เราก็ได้แต่ให้กำลังใจกัน เพราะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่หนัก มันไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวผมคนเดียว มันเกิดที่ตัวของผู้หญิงด้วย ทางผู้หญิงเองเขาก็ต้องมีครอบครัวเขา เพื่อนร่วมงานของเขา สังคมของเขา ซึ่งเราทำได้แค่เราต้องให้กำลังใจกันครับ

บอกได้ว่าผมไม่ได้รู้สึกช็อค กับเรื่องตรงนี้ เพราะผมรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งผมรับได้ จึงตัดสินใจที่จะคบกับเขา ผมรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นยังไง เราแฟร์ๆ กัน เราคุยเปิดใจกันทุกเรื่อง เราพูดความจริงกันทุกเรื่อง ข่าวพวกนี้ไม่มีปัญหาอะไรกับเราเลย

ลั่น ผู้ใหญ่ที่ช่องและครอบครัวไม่มีปัญหา ส่วนแฟนคลับเองก็รับได้ที่แฟนของตนเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน

ผู้ใหญ่ที่ช่องไม่มีเรียกไปคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ ทางครอบครัวผมเองก็ไม่มีใครเรียกเข้าไปคุยเรื่องนี้เหมือนกัน ทุกคนเขาใจดี ผมเองก็โตแล้วนะ ผมจริงๆ ผมอายุ 30 ปีแล้ว ผมคิดว่าผมเป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถตัดสินใจในการเลือกคบคน ในส่วนของแฟนคลับผมรับได้ครับ อย่างที่บอก คนเราจะมีแฟนหรือมีคนรักได้ข้อแม้ที่ผ่านมามันไม่แฟร์ถ้าเราจะเอามาคิดว่า มันจะเหมาะหรือไม่เหมาะ

ปัจจุบันเราอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ ผมว่าแค่นี้มันก็เป็นอะไรที่แฟร์ที่สุดแล้ว เราคบกันมาไม่เคยมีปัญหาอะไรกันครับ จะมามีปัญหาก็ตอนที่เป็นข่าวนี้แหละ ตรงนี้มันเป็นเรื่องของคน 2 คน ก็มีบ้างที่เราจะมีปัญหากัน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ยังไม่ตัดสินใจจะแต่งงานที่แฟนสาวคนนี้หรือไม่ บอกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มีความสุขดีแล้ว ปล่อยให้อนาคตตัดสินเอง
ณ ตอนนี้เราก็คบกันเป็นแฟน ส่วนอนาคตมันจะเป็นยังไงก็ปล่อยให้อนาคตเป็นตัวตัดสินตัวมันเอง ก็ขอแค่ให้อยู่กันอย่างมีความสุขก็พอแล้วครับ เราออกแนวเป็นเพื่อน ด้วยซ้ำไป เพราะเรารู้ว่าเราเคยเป็นยังไงกันมา ข่าวที่ผ่านมามันไม่กระทบกับตัวผมรวมไปถึงเรื่องของงานและเรื่องส่วนตัวเลย แต่กับคนที่ไม่ชินกับเรื่องพวกนี้ผมคิดว่ามันก็คงจะต้องมีบ้างครับ

แต่จริงๆ ก็คงต้องมีบั่นทอนบ้างแหละ ใครจะมาแข็งแกร่งได้อะไรขนาดนั้น ถ้าคิดในมุมของเขาว่าลองเป็นเราสิเราจะแข็งแกร่งได้แค่ไหน สำหรับอนาคตจะแต่งไม่แต่ง เอาเป็นว่าตอนนี้ผมยังสนุกกับการทำงานอยู่ สนุกกับชีวิตในการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ด้วยการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่ครับ

''จีทีเอช'' เปิดตัวหนัง ''SuckSeed ห่วยขั้นเทพ''

ค่ายหนังอารมณ์ดี ''จีทีเอช'' จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์ร็อกวัยรุ่น รักวัยเรียน ''SuckSeed ห่วยขั้นเทพ'' แบบสุดมันส์ เนรมิตเวทีห้องออดิทอเรียม ชั้น 21 อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ให้เป็นเวทีร็อก

โดยมี พิธีกรน้องใหม่ สุดซ่า ''ท็อป'' ณภัทร โชคจินดาชัย จากหนัง SuckSeed มา...ร่วม เป็นพิธีกรคู่กับสาวสุดฮอต ''โอปอล์'' ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ที่ขอทำหน้าที่เจาะลึกทุกคำถามกับ ผู้กำกับฯ น้องใหม่ ''หมู'' ชยนพ บุญประกอบ และโปรดิวเซอร์ หัวใจร็อก ''เก้ง'' จิระ มะลิกุล ที่มาพร้อมกับเซอร์ไพรส์พิเศษ เมื่อเหล่านักแสดงนำวัยรุ่น ''เก้า'' จิรายุ ละอองมณี, ''พีช'' พชร จิราธิวัฒน์, ''เอิร์ธ'' ธวัช พรรัตนประเสริฐ และนางเอกสุดเท่ ''แนท'' ณัฐชา นวลแจ่ม ที่ฟอร์มวงดนตรี SuckSeed มาโชว์เพลง ''ซักซี้ดนึง'' ได้มันส์สุดๆ ตามด้วยเพลงซึ้ง ''ทุ้มอยู่ในใจ'' น้ำเสียงของ เก้า-จิรายุ ที่เล่นกีตาร์โปร่ง อะคูสติก แจมกับ ผู้กำกับฯ หมู ชยนพ โดยมี นางเอกสาว แนท ณัฐชา ร่วมร้องเพลง เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ที่ตามมาให้กำลังใจถึงห้อง ออดิทอเรียม โดยมี ผู้บริหาร วิสูตร พูลวรลักษณ์, จินา โอสถศิลป์, ''เก้ง'' จิระ มะลิกุล ร่วมถ่ายภาพหมู่กับนักแสดงแบบซี้ดโดนใจ หนังฉาย 17 มีนา พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์

เก้า-จิรายุ เผยว่า ''ผมรักหนังเรื่องนี้มาก เป็นหนังที่ผมและเพื่อนๆ นักแสดง ทีมงานทุกคนตั้งใจกับมันมาก เป็นหนังที่ผมกับเพื่อนๆ ได้เล่นดนตรี ได้ทำตามฝัน เป็นหนังที่ก้าวผ่านความเป็นดรามา เป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขมาก และหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า คำว่าห่วย กลายเป็นคำที่เพราะที่สุด 17 มีนาไปให้กำลังใจกันทุกโรงภาพยนตร์นะครับ''

‎"แชนนิ่ง เททั่ม" ฟิตหุ่นพร้อมกระชากใจสาว ลง "The Eagle ฝ่าหมื่นตาย"

The Eagle ผลงานเรื่องล่าสุด เททั่ม รับบทเป็น มาร์คัส อาเกลล่า นักรบโรมันหนุ่มผู้ที่ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้แก่บิดา ในภาพยนตร์เขาต้องโชว์หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มให้สมกับเป็นนักรบแห่งอาณาจักร โรมัน โดยเจ้าตัวเผยว่า "วิธีการเคลื่อนไหว, ท่าเดิน และการพูด เราฝึกการขี่ม้า, เดินแถวทหาร และการใช้โล่แบบโรมันป้องกันตัว ผมต้องฝึกอยู่บนหลังม้าถึง 6 สัปดาห์ สำหรับผมนั่นเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเราลงรายละเอียดลึกเท่าไร ก็ยิ่งแสดงได้ถูก"

"อย่างการเดินแบบทหารโรมันเป็นไม่ใช่เดินแบบสบายๆ เมื่อคุณใส่รองเท้าแตะแบบนั้น คุณจะเดินต่างไปจากปกติ แล้วคุณก็จะพูดด้วยเสียงที่ต่างไป เพราะคุณอยู่ในภาวะตื่นตัว พูดด้วยเสียงที่สะท้อนมาจากอก และคุณก็จะไม่ได้พูด หรือใช้ภาษาแบบร่วมสมัยปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้มันจะหลอมรวมตัวคุณให้เข้าไปอยู่ ในบุคลิกตัวละคร มาร์คัส ยังมีช่วงที่อ่อนแออยู่ในหลายส่วนของหนัง ผมต้องคอยเตือนตัวเอง ให้คอยจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเสมอ"

ใน The Eagle ยังรวบรวมนักแสดงยอดฝีมือ อาทิ หนุ่มหล่อจาก Jumper เจมี่ เบลล์ และผู้กำกับฯ เจ้าของรางวัลออสการ์ เควิน แม็คโดนัลด์ (The Last King of Scottland) มาร่วมถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ และฉากแอ็กชั่นสุดมันส์ผลงานอลังการงานสร้างจากทีมผู้สร้าง The Golden Age ที่จะมาสร้างประวัติศาสตร์อันร้อนระอุบนจอภาพยนตร์

มาร์คัส ผู้บัญชาการกองทัพโรมัน เดินทัพข้ามช่องแคบมาถึงเกาะบริเทน และเผชิญหน้ากับหน่วยทหารของพวกเซลติก ที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาบุกขึ้นแผ่นดินได้อย่าง ง่ายๆ ความผิดพลาดในการออกคำสั่ง ทำให้กองทัพโรมันถูกตีแตก ภารกิจประสบความล้มเหลว มาร์คัส เสี่ยงภัยหลบหนีโดยมีทาสชาวเซลติกนาม เอสคา ติดตามไปด้วย เขายังมุ่งมั่นบุกลึกขึ้นเหนือเขาสู่แผ่นดิน

ความ จริง มาร์คัส รับอาสาภารกิจนี้ เพื่อจะเดินทางมาสืบเกี่ยวกับความลับ 15 ปีก่อน เกี่ยวกับกองพันที่ 9 ที่มีสัญลักษณ์ตราอินทรี ซึ่งบัญชาการโดยพ่อของเขา ต่อสู้กับนักรบชาวสกอตต์ และไม่ได้กลับมาตุภูมิ การเดินทางทดสอบความสัมพันธ์ของมาร์คัส และเอสคา ผู้รังเกียจโรมันเข้าสายเลือด ยิ่งเดินขึ้นเหนืออันตรายก็ยิ่งมาก จนทั้งคู่ถูกจับโดยพวกซีล ชนเผ่าเซลติกที่เหี้ยมโหดที่สุด เอสคา อ้างตนเป็นนาย และสั่งให้มาร์คัส แสร้งเป็นทาสเพื่อรักษาชีวิตให้รอด มาร์คัส ไม่มีทางเลือก และต้องปล่อยให้ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของศัตรู

“ชารอน สโตน” ผวา!! คนบ้าบุกบ้าน

อดีตสาวเซ็กซี่ผู้โด่งดังจากหนัง Basic Instinct “ชารอน สโตน” ต้องอาศัยอำนวจศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังถูกคนบ้าที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนเขียนบทหนังดัง The King’s Speech และมีสิทธิ์ในบ้านของ “สโตน” ภายหลัง “ฮิลลารี คลินตัน” เป็นผู้มอบบ้านหลังดังกล่าวให้กับเขา

ผู้พิพากษาได้ออกคำสั่งคุ้ม ครอง ห้ามไม่ให้นาย แบรดลีย์ กูเดน เข้าใกล้นักแสดงหญิงชื่อดัง ชารอน สโตน, บ้านของเธอ และลูก ๆ ทั้งสามคนในระยะ 100 หลา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งต่อศาลว่า ชายคนดังกล่าวมีอาการทางจิต ซึ่งอาจจะเข้าข่ายโรคจิตเภท

สโตน ได้ยื่นต่อศาลตั้งแต่วันพฤหัสที่ผ่านมา ในการกล่าวหาว่านาย กูเดน ได้บุกรุกเข้ามาในบ้านของเธอในวันที่ 11 ก.พ. ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าชายคนนี้ ที่เคยอยู่ในการควบคุมของจิตแพทย์ชั่วคราว ได้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว

ซึ่งข้อมูลของเจ้าหน้าที่ยังระบุอีกว่า กูเดน เชื่อว่าตนเองเป็นเจ้าของบ้านซึ่ง ชารอน สโตน เป็นเจ้าของและอาศัยอยู่ โดยเขาอ้างว่าได้รับมอบบ้านหลังดังกล่าวมาจาก นางฮิลลารี คลินตัน อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศคนปัจจุบัน

เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า กูเดน ลงทุนเดินทางข้ามรัฐจากโอไฮโอ มายังแคลิฟอร์เนีย เพื่อตามหาบ้านหลังนี้ นอกจากนั้นเขายังคิดว่าตัวเองคือลูกของ คลินตัน และเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech ตั้งแต่ตนเองมีอายุเพียง 2 ขวบด้วย … “ผมชื่อว่า บ็อบบี้ โจ คลินตัน เป็นลูกชายของ ฮิลลารี คลินตัน แม่ซื้อบ้านหลังนี้จากคุณสโตน เป็นของขวัญให้ผม ตอนนี้มันคือที่อยู่ของผม” ตำรวจอ้างคำพูดของหนุ่มคนดังกล่าว

โดยส่วนหนึ่งของเอกสารที่ ชารอน สโตน ยื่นต่อศาลมีใจความว่า “คุณกูเดน ทำให้ดิฉันต้องตกอยู่ในความกลัว ทั้งต่อความปล่อยภัยของตนเอง และคนรอบ ๆ ตัวโดยเฉพาะครอบครัว และลูก ๆ รวมถึงเพื่อน ๆ และลูกจ้างทุกคนด้วย”

‎ชีวิตบัดซบ! "พี่สาวมารายห์ แครี่" อับจน-ขายตัว-ติดเอดส์

คนน้องโด่งดัง และร่ำรวยล้นฟ้า แต่พี่สาวกลับชีวิตผักผันเป็นเอดส์ แถมขายบริการทางเพศอีกต่างหาก ''เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์'' สื่อบันเทิงแดนลุงแซม เผยข่าวสะเทือนใจว่า ''อลิสัน'' พี่สาวของ มารายห์ แคร์รี่ นักร้องดีว่าเสียงทอง ตอนนี้ชีวิตตกระกำลำบากอย่างหนัก ไม่มีเงิน, ติดเชื้อ...เอชไอวี และต้องขายเรือนร่างแลกกับเงิน ด้วยการโพสต์ขายตัวด้วยการปิดบังชื่อ แถมโกหกอายุอ่อนกว่าจริงกว่า 10 ปี

อลิสัน แคร์รี่ย์ สกอตต์ เป็นพี่สาวแท้ๆ ของ มารายห์ วัย 41 ปี โดยชีวิตเธอออกแนวดิ่งลงเหวมาตั้งแต่ก่อน  หน้านี้เคยติดยา ทั้งยังเคยโดนจับข้อหาขายตัว 2 ครั้ง ที่สำคัญคือยังติดเชื้อเอชไอวีด้วย ขายบริการทางเพศใน ลอง ไอส์แลนด์, นิวยอร์ก โพสต์ตัวเองลงเว็บไซต์บริการฟรี ไม่คิดเงิน ในหน้าโฆษณาที่เหล่าสาวขายบริการนิยมใช้กัน โดยบอกไปว่าตัวเองอายุ 36 ปี เป็นสาวเซ็กซี่ผมสีบลอนด์ ชื่อ ''เดนิส''

อย่างไรก็ตาม ''เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์'' ไปค้นพบความจริงว่า ความจริงแล้วสาวคนนี้คือ อลิสัน พี่สาวของ มารายห์ ปัจจุบันอายุ 49 ปี และใช้รูปปลอมโฆษณา คิดค่าบริการแบบส่งตรงถึงบ้านชั่วโมงละ 250 ดอลลาร์ (ราว 7,500 บาท) ''คุณไม่รู้หรอกว่าฉันเดือดร้อนเรื่องเงินขนาดไหน แต่ฉันไม่ได้ขายตัวแลกเงินนะ! ฉันขายความเป็นเพื่อน และใช้ร่างกายถูไถสร้างความสุขทางเพศเท่านั้น''

การสนทนาดังกล่าวถูกบันทึกไว้โดย ''เอ็นไควเรอร์'' ที่มีโอกาสล้วงความลับของ อลิสัน ตอนเธอมาหาหนุ่มนักธุรกิจที่โรงแรม ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ ใน นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งเธอเล่าว่า ''ฉันต้องทำแบบนี้อย่างไม่มีทางเลือก เพราะครอบครัวไม่ยอมช่วยฉันเรื่องเงิน หลายสัปดาห์เลยที่ฉันต้องขับรถแบบไม่มีเบรก มันอันตรายมาก เลยไปขอความช่วยเหลือจากทางบ้าน แต่ไม่มีใครช่วยฉันเลย ฉันเองก็ไม่อยากมาทำอะไรแบบนี้กับคนแปลกหน้าหรอก แต่ฉันไม่มีทางเลือก''

ย้อนไปปี 2000 อลิสัน พยายามเดินหน้าสำนักพิมพ์เพื่อขายเรื่องราวของ ครอบครัวอันมีชื่อเสียงของเธอ แต่ทีมกฎหมายของ มารายห์ มาขัดขวาง แล้วสิ่งต่างๆ ของ อลิสัน ก็มีแต่พุ่งลงเหว เธอเข้าวงการขายตัว และเดือนมิถุนายน ปี 2005 โดนตำรวจนอกเครื่องแบบหลอกซื้อบริการ ด้วยค่าตัว 250 ดอลลาร์ เลยโดนจับ และที่น่าตกใจคือ เธอซึ่งมีลูกคนแรกตอนอายุ 15 ปี ติดเชื้อเอชไอวีมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 90

แต่แม่ของเธอ แพทริเซีย รักหลานชาย และห่วงความปลอดภัย เลยใช้อำนาจศาลดึงเอาหลานมาเลี้ยงเอง ด้วยการไม่ส่งหลานกลับไปหาแม่ตอนมาเยี่ยม แต่ในเวลาต่อมาก็ให้มีการเลี้ยงดูร่วมกัน อย่างไรก็ดี รายงานข่าวบอกว่า มารายห์ เคยออกค่าใช้จ่ายให้พี่สาวไปบำบัดหลายรอบ อลิสัน กล่าวว่า ''ไม่สำคัญว่ามันจะออกมายังไง ฉันเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ชีวิตกลับมา เหมือนเดิม ฉันเลิกอบายมุขมา 14 เดือนแล้ว ฉันบำบัดยา และเหล้า ไปรับคำปรึกษา และมีคนช่วย ฉันยังสมัครเรียนคอลเลจ ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งฉันจะมีชีวิต และสถานะการเงินที่ดีขึ้น''