หลังจากที่อดีตนางงามและนักแสดงที่เคยรู้จักกันดีในชื่อ ''นุช'' ปรียานุช ปานประดับ ที่ปัจจุบันหันมาทำเบื้องหลังเป็นผู้จัดที่เรียกกันสั้นๆ ว่าซ้อนุชเดินทางไปดูหมอกับหมอดูท่านหนึ่งแล้วโดนทักว่าจะตายในปีนี้อย่าง แน่นอน กลายเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ และทางหนังสือพิมพ์สยามดาราก็ได้รายงานรายละเอียดต่างๆ ให้ทราบไปบ้างแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 54 เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมาซ้อนุชได้เดินทางมาเปิดตัวหนังสือพ็อกเกตบุ๊กในชื่อ ''เมื่อผลกรรมไล่ล่าดาราดัง'' บริเวณร้านบีทูเอส ชั้น 3 เซ็นทรัลเวิลด์ โดยการออกมาเปิดตัวพ็อกเกตบุ๊กครั้งนี้นั้นก็ได้รับความสนใจอย่างมากกับ บรรดาสื่อมวลชนที่ไปรอทำข่าวแล้วต้องการที่จะทราบถึงที่มาที่ไปจากปากของ ซื้อนุชเอง ซึ่งบรรยากาศภายในงานเปิดตัวหนังสือครั้งนี้ในขณะที่ซ้อนุชได้ให้สัมภาษณ์ กับพิธีกรบนเวทีเกี่ยวกับเรื่องราวของหนังสือที่มาที่ไปของผู้ชาย 3 คนที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวนั้น ซ้อนุชก็ถึงกับร้องไห้ออกมาต่อหน้าผู้คนที่อยู่ภายในงานราวกับรู้สึกดีใจที่ ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่อัดอั้นในช่วงเวลาที่ป่วยมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปี และยินดีที่เหล่าเพื่อนๆ ศิลปินดาราเดินทางมาร่วมงานและวร่วมเป็นกำลังใจกันอย่างคับคั่ง อาทิ ''ออย'' ธนา สุทธิกมล, ''ลิฟท์'' สุพจน์ จันทร์เจริญ และครอบครัว, ''บิ๊ก'' ศรุต วิจิตรานนท์, ''ชาม'' ไอยวรินท์ โอสถานนท์ และเพื่อนสนิท ฯลฯ โดยทางซ้อนุชก็ได้เล่าถึงที่มาในการทำหนังสือเล่มนี้ให้กับทางผู้สื่อข่าว ฟังว่า
''จุดประสงค์ของการออกหนังสือเล่มนี้นี่ก็ เพราะว่าพี่ป่วยแล้วมีวันนึงนั่งรถไปที่กาญจนบุรีแล้วพอดีมีพี่ไก่เดินทางไป ด้วย แล้วเราก็คุยกันในรถว่าแบบเออ ชีวิตเรานี่นะไม่มีอะไรแน่นอนเลย เดี๋ยวก็ป่วยเดี๋ยวซักวันนึงก็เดินไม่ได้ แล้วเค้าก็เลยบอกเราว่าทำไมไม่เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คนอื่นๆ ได้รู้บ้างว่าป่วยยังไงบ้างแล้วจะมีวิธีการรักษาอะไรต่างๆ อย่างไร ซึ่งมีคนมาถามเราบ่อย เราก็อธิบายหลายรอบหลายคนก็เลยคิดว่า ถ้าเราทำหนังสือออกมาสักเล่มหนึ่งจะได้ไม่ต้องเล่าบ่อยๆ แล้วช่วงชีวิตที่เราแย่ๆ ก็จะรวมอยู่ในเล่มนี้หมดเลยค่ะ หนังสือเล่มนี้เราก็จะบอกให้คนตั้งรับว่าต้องทำยังไงกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตเรา''
เมื่อผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีที่หมอดูได้ทักว่าอดีตนางงามนั้นจะเสียชีวิตภายในปีนี้และตกเป็นประเด็นอยู่หลายวันนี้ทางซ้อนุชได้เล่าให้ฟัง ถึงที่มาที่ไปอย่างสบายๆ ว่าเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกับคำทำนายที่ว่าแต่อย่างใด มีเพียงตั้งรับและพยายามใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น
''ก็คือไปกะชามเพราะสนิทกะชาม เค้าจะทักเรามาว่าปีนี้เราไม่ดีเลย แต่ประเด็นมันไม่ใช่ว่าเราจะตายหรือไม่ตาย แต่เหมือนกับว่ามันอาจจะวูบไปไม่ฟื้นเลยคือเค้าก็อำเรา แต่คือคุณหมอเค้าก็มาเล่าให้ฟังว่า เค้าเห็นอย่างนั้นจริง ตัวเราเองพอฟังคำทำนายเราก็ไม่ได้กลัวอะไร ก็เหมือนเราต้องมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทำบุญมากขึ้น คือตรงที่พี่จะเจ็บมากๆ ก็คือจะเป็นกระดูก เข่า หลังค่ะพี่ผ่าตัดบ่อยมาก แล้วก็ป่วยบ่อยแล้วเราก็อยู่รอดมาตั้ง 4 ปีแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าก็คุ้มแล้วกับ 4 ปี ที่เราอยู่มาแล้วมันหายตื่นเต้น-ตกใจไหมก็คงจะไม่ตื่นเต้น-ตกใจเท่าไหร่ ก็คือตั้งรับอย่างเดียว ก็กลับมาเดินได้หลายปีแล้วค่ะ แต่ช่วงที่เดินไม่ได้ก็ประมาณปีครึ่งค่ะ เมษายน ปี 2549-2550 ปี พอมาถึงปี 2551 ก็เดินได้แล้วค่ะ กับข่าวที่ออกไปก็มีคนโทร.มาหาเยอะเหมือนกันค่ะ กำลังใจจากคนรอบข้างเราก็มีเยอะน่ะค่ะ เมื่อช่วงเวลาที่เราวิกฤติที่สุดเราก็จะคิดอะไรได้เยอะ ก็อยากจะบอกให้ทุกคนเนี่ยหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้นอยากให้ทุกคนแข็งแรง คือหนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มสุดท้ายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ก็แค่อยากจะฝากบอกให้คนไทยได้อ่านบ้าง''
ต่อคำถามถึงอาการป่วยของซ้อนุชนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วนั้นซ้อนุช ก็ได้ให้ข้อมูลของอาการล่าสุดกับผู้สื่อข่าวว่า ยังมีอาการปวดขา และกระดูกอยู่บ้าง และต้องคอยเปลี่ยนอิริยาบถอยู่บ่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด
''อย่างตอนนี้พี่ก็ใส่รองเท้าส้นสูงได้แป๊บเดียวพี่ก็ต้องเปลี่ยน ไปใส่แบบธรรมดาละ แล้วอย่างนั่งก็นั่งนานๆ ไม่ได้ต้องลุกขึ้นสลับกันไป ก็คือดูเหมือนปกติแต่ว่ากระดูกเรานี่ก็จะเจ็บ เจ็บมากเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ก็รักษาด้วยการทานสมุนไพรอย่างเดียวเลยค่ะแล้วก็ไม่เดินมากค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่นั่งนาน ถ้านั่งนานมันก็จะเริ่มปวดเข่า ปวดหลังอะไรแบบนี้ค่ะ'' ซ้อนุชกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น