วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"ดอกส้มฯ"เฮ!ไม่แบนช่อง3ยอมหั่นฉากแรง


เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 4 พ.ค. 54 ที่ตึกบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ผู้บริหารช่อง 3 พร้อมด้วยทีมผู้จัดละครเรื่องดอกส้มสีทอง นำโดย บริสุทธิ์ บูรณสัมฤทธิ์ ผอ.ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์ช่อง 3, ''หน่อง''อรุโณชา ภาณุพันธ์ ผู้บริหาร บ.บรอดคาซท์, ''แดง-ศัลทยา'' นักเขียนบทละคร ''โบว์'' เบญจวรรณ อาร์ดเนอร์, ''อั๋น'' วิทยา วสุไกรไพศาล ได้เข้าพบ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสื่อของรัฐเพื่อประชุมหาทางออก กรณี ''ละครดอกส้มสีทอง'' ถูกผู้ชมส่วนหนึ่งร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสมกับเนื้อหาบางส่วนจากละครเรื่องดังกล่าว 


ซึ่งภายหลังจากที่ รมต.องอาจ ได้หารือกับผู้บริหารช่อง 3 ผู้จัดละครและดารานักแสดงจากละครเรื่อง ''ดอกส้มสีทอง'' เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้ออกมาเผยข้อสรุปในการประชุมครั้งนี้ว่า จากการที่ได้มีความเห็นร่วมกันว่าขณะนี้ละครดอกส้มสีทองยังคงเหลืออีก 6 ตอนจะจบเรื่อง ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์ 


ขณะที่กระแสสังคมส่วนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาของละครว่าอาจจะส่งผลกระทบ ต่อสังคม โดยตนได้ให้ความเห็นว่าหากเป็นไปได้ ข้อเสนอแรก ก่อนละครจะฉายให้มีข้อความอธิบายให้ผู้ชมได้เข้าใจว่าภาพที่จะปรากฏบนจอ ต่อไปนี้เป็นการแสดง และผู้ปกครองควรให้คำแนะนำเด็กหรือเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
     
นอกจากนี้จะมีการให้ขึ้นตัววิ่งในขณะที่ละครกำลังฉาย เป็นประมาณข้อความอธิบายให้เห็นด้วยว่า ภาพที่ปรากฏขณะนี้เป็นการแสดง และผู้ปกครองควรให้คำแนะนำเด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี


ข้อเสนอที่ 2 นายองอาจกล่าวว่า ถึงแม้จะเหลือระยะเวลาในการออนแอร์ละครเรื่องดังกล่าวอีก 6 ตอนก็ตาม แต่ทางช่อง 3 และผู้จัดละครก็ได้ยืนยันว่าจะไปดูและพิจารณาว่ามีฉากใด ตอนใดที่อาจจะทำให้ประชาชนผู้ชมส่วนหนึ่งมีความรู้สึกว่าจะเป็นผลกระทบต่อสังคม ก็อาจจะพิจารณานำฉากนั้นออกไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมให้มากที่สุด


''ในความเป็นจริง ละครหรือรายการโทรทัศน์สามารถจะเป็นบทเรียนในการสอนลูกหลานได้ รายการโทรทัศน์ดีๆ จะสามารถนำสิ่งดีๆ มาสอนลูกหลาน ขณะเดียวกัน หากมีเรื่องราวอะไรที่นำเสนอในเชิงลบ ในเชิงที่เป็นปัญหา เราก็นำสิ่งที่ปรากฏออกมาในเชิงลบแนะนำลูกหลานไม่ให้ปฏิบัติตาม อย่างไรก็ดี หากเราไม่ให้คำแนะนำ หรือไม่ให้เด็กเข้าไปดู เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งจะสามารถไปหาช่องทางโดยที่ไม่มีใครแนะนำได้ เช่น อินเทอร์เน็ต''


ส่วนเด็กที่ยังเล็กอยู่ อายุ 3-10 ขวบผู้ใหญ่ ไม่ควรให้ดูละคร เพราะคิดว่าพ่อ-แม่ควรหารายการที่ประเทืองปัญญา ตลอดจนให้ลูกไปพักผ่อนเพื่อจะไปเรียนในวันรุ่งขึ้นน่าจะเหมาะสมที่สุด หากแต่ว่าเด็กที่มีอายุ 14-18 ปี ยังอยู่ในช่วงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็สามารถดูได้ แต่ควรมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ


อย่างไรก็ตาม ในช่วงตอนท้ายๆ ของละครจะนำเสนอให้เห็นถึงความเลวร้ายของตัวละคร โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่องที่จะได้รับผลกรรมที่กระทำไว้อย่างไร ซึ่งคนที่ชมละครเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะที่เป็นเด็กและเยาวชนจะสามารถมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นเมื่อชมไปถึงตอนสุดท้าย แต่สำหรับผู้ใหญ่คงไม่มีปัญหาเพราะมีวุฒิภาวะอยู่แล้ว


''เท่าที่พูดคุยกันมองเห็นความรับผิดชอบทางช่องและผู้จัดละครมาก ขึ้น และผมเชื่อว่าทางช่องและผู้จัดละครจะเข้าใจเจตนารมณ์ของสังคมว่าควรจะดำเนิน การอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด เพราะคิดว่าในสังคมควรจะให้เกียรติซึ่งกันและกันว่าจะพิจารณาอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด''


ส่วนที่ว่าจะมีการปรับบทบาท กบว.ของช่องหรือไม่นั้น นายองอาจกล่าวว่า เป็นเรื่องของ กสทช. ที่กำลังจะออกมาไม่นานนี้ โดย กสทช. จะกำหนดแผนแม่บทเรื่องวิทยุโทรทัศน์ เรื่องของโทรคมนาคม จุดนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนแม่บทด้วย


สุดท้ายนายองอาจได้ปฏิเสธถึงกรณีที่มีคนหาว่าที่ออกมาทำเรื่องดัง กล่าวนี้เพื่อเป็นการเกาะกระแสบันเทิงเพื่อโยงกับเรื่องการเมือง โดยนายองอาจอธิบายว่า ตนไม่ได้เกาะกระแสอย่างที่มีบางคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงวัฒนธรรมที่หยิบยกขึ้นมา ทั้งนี้ ต่อไปหากมีแผนแม่บทออกมาสิ่งเหล่านี้จะลดลง แต่คิดว่าปรากฏการณ์ของ ''ดอกส้มสีทอง'' ของเรยาในครั้งนี้จะทำให้สังคมมีความตระหนักร่วมกันมากขึ้น


ด้าน ''หน่อง'' อรุโณชา ภาณุพันธ์ ผู้บริหาร บ.บรอดคาซท์ ผู้จัดละคร ''ดอกส้มสีทอง'' กล่าวว่า ''ค่ะ วันนี้ก็ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนชี้แจงประเด็นที่ได้รับความสนใจ ซึ่งท่านรัฐมนตรีก็ได้ให้ความกรุณาช่วยหาทางออกร่วมกัน ว่าจริง เนื้อหาส่วนที่เหลืออีก 6 ตอนที่เหลือ พยายามที่จะดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วถ้าเกิดมันมีอะไรไม่เหมาะสม ตรงนี้เราก็คิดว่าจะดูแลให้ดีที่สุด''


นอกจากนี้ผู้บริหาร บ.บรอดคาซท์ ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ตนอยากให้มองละคร ''ดอกส้มสีทอง'' เป็นละครที่สะท้อนเรื่องราวทางสังคม ครอบครัวที่สามีมีเมียน้อย หรือผู้หญิงที่เป็นภรรยาน้อย จะส่งผลกระทบกับครอบครัวอย่างใหญ่หลวงทุกคนที่ทำไม่ดีจะมีความทุกข์กันหมด 


เนื่อหาในเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงการเลี้ยงดูลูก หากตามใจในทางที่ผิด เด็กโตขึ้นมาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างอย่างเรยาได้ แม่และภรรยาแต่ละตัวละครที่ได้รับ ได้รับบทเรียน และอุทาหรณ์ชีวิตที่แตกต่างกันไปตนยืนยันว่า หากมีบางส่วนของละครถูกพิจารณาตัดออกไปบ้างเพื่อความเหมาะสม แต่ความเข้มข้นในส่วนของเนื้อหาก็ยังสนุกและน่าติดตามเช่นเดิม ส่วนที่ว่าจะทำภาคต่ออีกหรือไม่ตรงนี้ตนยังตอบไม่ได้ ขอให้ภาคนี้จบบริบูรณ์ก่อนแล้วค่อยพิจารณาอีกที


ขณะที่ บริสุทธิ์ บูรณสัมฤทธิ์ ผอ.ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กล่าวเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า ตนกลับไปก็จะนำข้อสรุปที่ได้ในวันนี้ไปแจ้งให้กับทางผจก.ฝ่ายรายการให้ทราบ และดำเนินการตามที่ได้รับการแนะนำจาก รมต.องอาจซึ่งทางสถานีก็จะให้ความร่วมมือ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอะไร หากมีเรื่องที่สะท้อนจากสังคมภายนอกอย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทางสถานีก็ พร้อมจะรับฟังและพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป


''โบว์'' เบญจวรรณ อาร์ดเนอร์ ผู้รับบทเป็น ''ซิลเวีย'' ภรรยาคนที่ 5 ของเจ้าสัว หนึ่งในนักแสดงของเรื่องที่เดินทางมาร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า ตอนแรกๆ ที่ตนได้ยินกระแสว่าจะมีการแบนละคร ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนกระทั่งเมื่อวานที่ผู้ใหญ่เรียกตนให้มาร่วมประชุมในวันนี้ จึงรู้สึกได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องใหญ่จริง ตนอาจจะเป็นเด็กที่โตมาในต่างประเทศ จึงไม่ได้รู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มากนัก ในฐานะนักแสดงจึงมองว่าเป็นเรื่องของการแสดง


จุดสำคัญน่าจะอยู่ที่บทสรุปของตัวละครแต่ละตัว ซึ่งตนอยากจะให้ดูตรงนี้มากกว่า แต่สุดท้ายที่วันนี้ได้ข้อสรุปจากการที่ทางผู้ใหญ่ได้เข้ามาพูดคุย ก็ถือว่าทุกคนช่วยกันหาทางออก ซึ่งตนก็ว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนในเนื้อหาจะถูกพิจารณาไปมากน้อยแค่ไหนตรงนี้ต้องเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่เป็นคนพิจารณาอีกที


ส่วน ''อั๋น'' วิทยา วสุไกรไพศาล ผู้รับบท ''คุณใหญ่'' ในละคร ''ดอกส้มสีทอง'' ที่เดินทางมาในวันนี้ด้วยกล่าวสั้นๆ กับผู้สื่อข่าวว่า ''ที่มาในวันนี้ตนเพียงแค่ร่วมเดินทางมาด้วย ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ร่วมกันหาทางออก คงเป็นเรื่องที่เกินกว่าตนจะตัดสินใจด้วย ซึ่งจากที่ตนทราบและได้เข้าไปร่วมนั่งฟัง น่าจะเป็นทางออกที่ทุกคนพอใจครับ ตนก็จะทำหน้าที่การเป็นนักแสดงให้ดีที่สุด ยังไงตนก็ฝากติดตามละคร ''ดอกส้มสีทอง'' ถึงแม้อาจมีการตัดบางช่วงบาง
ตอนไปเพื่อความเหมาะสมบ้าง แต่ตนรับรองว่ายังสนุกและสอดแทรกแง่คิดดีๆ ให้กับผู้ชมไว้เหมือนเดิม''


ในวันเดียวกันนี้ ''ชมพู่'' อารยา เอ ฮาร์เก็ต นางเอกสาวผู้รับบท ''เรยา'' ตัวละครเจ้าปัญหาของ ''ดอกส้มสีทอง'' ได้มาให้สัมภาษณ์ในรายการ ''เรื่องเด่นเย็นนี้'' ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา เกี่ยวกับประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ถึงความเหมาะสมในการตัดทอนฉากเลิฟซีนจนถึงขั้นอาจมีการแบนละคร ซึ่งสาวชมพู่ก็ยังยืนยันว่า ''ดอกส้มสีทอง'' เป็นละครที่ดีและคงรู้สึกเสียดายหากจะต้องถูกตัดทอน เนื่องจากทุกไดอะล็อกของละครเรื่องนี้ได้สะท้อนความเป็นจริงของ
สังคม


''ชมว่าตัวละครทุกๆ ตัวในละครเรื่องนี้เค้าเป็นมนุษย์ เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ขาวจัดดำจัด มันก็มีสีเทาบ้าง อย่างพระเอกเค้าก็ไม่ได้ดีหมดแต่ก็ยังมีมุมที่ผิดพลาด ทุกๆ ตัวละครเป็นผู้คนที่เราเคยเจอในสังคม อย่างเรยาเองเค้าก็มีมุมดีนะ เค้าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น เพียงแต่วิธีที่เค้าทำเพื่อได้มานั้นมาจากการปลูกฝังที่ผิดๆ เพราะเมื่อตอนเด็กๆ ฟังแม่เล่ามาว่าเจ้าสัวมีเมียได้หลายคนและคนที่เป็นเมียเจ้าสัวก็สบาย เค้าเลยมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องผิดถ้าจะต้องไปเป็นเมียน้อย
ถ้าต้องตัดออกก็คงเสียดาย เพราะว่าชมเองรู้ว่าทุกฉากแฝงได้ด้วยคุณค่าที่สอนคน ทุกๆ ไดอะล็อกของบทโทรทัศน์มันสะท้อนมันพูดแทนผู้หญิงทั้งโลก มันสะท้อนความเป็นจริงของสังคม เรียกได้ว่าพูดแทนคนที่อยู่ในสภาวะนั้นจริงๆ 


ชมเองมีคนรู้จักที่เป็นเมียน้อยมาบอกว่าเชื่อมั้ยประโยคที่เรยาพูดในละคร นั้นเค้าเคยพูดมาหมดแล้ว ชมไม่อยากให้ตัดแม้บางคำพูดในละครมันจะฟังดูแรง แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมจริง จริงๆ นี่คือสิ่งที่กำลังเตือนให้กับคนที่กำลังจะเดินทางผิดหรือจะมาเป็นเมียน้อยได้ฉุกคิด นี่คือสิ่งที่หากคุณเดินมาแล้วจะเป็นอย่างนี้กินน้ำใต้ศอกเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้ตัด ก็ยังเสียดายค่ะ แต่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ค่ะ


เลิฟซีนมากไปมั้ยก็ยอมรับว่ามีมากค่ะ แต่ชมว่าละครเรื่องนี้เลิฟซีนทำมาไม่ได้เลิฟซีนเพื่อสปอยคนดู แต่มันเป็นเลิฟซีนเพื่อเล่าเรื่องจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้แลกอะไรมาบ้าง เพื่อที่จะได้ให้มา อย่างตอนคุณใหญ่ก็คือจะจับให้ได้พยายามทำให้ท้องคือมันต้องมีเพื่อจะเล่าเรื่องถ้ามันไม่มีเรื่องมันก็จะไม่ดำเนินไป'' ชมพู่กล่าว


นางเอกชื่อดังยังกล่าวถึงกรณีที่ถูกมองว่าคนในสังคมอาจเลียนแบบ พฤติกรรมของ ''เรยา'' ว่าเป็นเพียงเรื่องโจ๊กหรือการเล่นมุกกันเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าคนดูมีวิจารณญาณในการชมละคร ขณะที่พฤติกรรมของเรยาที่ถูกกล่าวถึงกันมากว่าก้าวร้าวกับแม่ สาวชมพู่เชื่อว่าคนดูตระหนักดีว่าไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง รวมทั้งเรื่องการเป็นเมียน้อยคนซึ่งในละครเผยให้เห็นตลอดว่าเรยาไม่เคยมี ความสุขเลยกับการแย่งชิงสามีคนอื่น


''ชมยอมรับค่ะว่าเคยเห็นกะเทยหรือสาวประเภทสองโพสตามเฟซบุ๊กว่า อยากเป็นเรยา แต่ชมว่ามันเป็นเรื่องโจ๊กมากกว่า เอาจริงๆ คนเค้าก็ไม่ได้ดูละครเรื่องนี้แล้วคิดว่าอยากเป็นเมียน้อย แต่เป็นแค่เรื่องตลกเป็นเหมือนวินาทีนี้ต้องเล่นมุกนี้เอาเข้าจริงๆ คนดูก็รู้ว่าเรื่องนี้ให้อะไร แต่เวลาเค้าไปออฟฟิศเค้าก็เม้าท์กันเรื่องฉากแซบๆ ในชีวิตประจำคนเราคงไม่ได้มานั่งถกกันว่าเธอได้อะไรจากละครเรื่องนี้ ชมว่าคนดูมีวิจารณญาณซึมซับเรื่องนี้


อย่างเรื่องที่เรยาทำกับแม่จริงๆ ชมว่าคนที่ดูก็มีฟีดแบ็กว่าทำไมเรยาเลวอย่างนี้ ทำไมทำแบบนี้ ชมอ่านบทเองก็ใจหายนะ แต่เราต้องการชี้เป็นพฤติกรรมไม่ควรทำเยี่ยงอย่างไม่ควรทำตาม ซึ่งคนดูเค้าก็ซึมซับตรงนี้ ชมเองเล่นสุดๆ ไม่กั๊กคนดูน่าจะรู้ว่าไม่ใช่พฤติกรรมที่คนเอาอย่าง ซึ่งการจะบอกกับคนดูว่าอะไรถูกอะไรผิดมันก็ไม่ใช่การเอาสีขาวไปให้เค้าดู อย่างเดียว บางทีก็ต้องให้เห็นสีดำด้วยว่าอะไรดีอะไรชั่ว เพียงแต่ด้านไม่ดีเราก็ต้องทำให้เห็นว่าไม่ควรเอาอย่าง


แต่ถ้าถามว่าเด็กๆ ตัวเล็กๆ ดูควรมีผู้ปกครองมั้ยอันนี้ชมก็เห็นด้วยว่าผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ อย่างในวันนี้ก็มีคนเล่าให้ฟังว่ามีเด็ก 10 ขวบดูละครแล้วบอกพ่อว่าอย่ามีกิ๊กนะ
ส่วนเรื่องเมียน้อยก็อย่างที่บอกน่ะค่ะว่าเราทำให้เห็นแล้วว่า ชีวิตของคนที่เลือกจะเป็นเมียน้อยมันเป็นยังไง โอเคมีตังค์ใช้แต่งตัวสวย แล้วมันไปได้ยาวแค่ไหน ถ้าถามชมชมตอบแทนเรยาตอบแทนเมียน้อยได้เลยค่ะว่ามันไม่มีความสุขหรอกค่ะการกินน้ำใต้ศอก ชมแสดงเป็นเรยาเนี่ยกลับมาบ้านต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่มีความสุข คือถ้าคนดูทุกฉากจะรู้ว่าเรยาไม่ได้มีความสุขเลย'' นางเอกสาวกล่าว 


สุดท้ายสาวชมพู่ยังยันว่า ''ดอกส้มสีทอง'' เป็นละครน้ำดี ไม่เคยมีฉากตบตี เป็นละครที่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นสังคม แต่หากใครจะบอกว่าเป็นละครน้ำเน่านี่ก็คือเป็นจริงของสังคม และตนเชื่อว่าคนที่เลวกว่าเรยาก็คงมี 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น